"http://comment-thai.com/pimp_glitter_15748.html"

“ เมื่อไหร่ …หนูจะได้กลับบ้าน ”

ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

Teachings of Buddha Product by manoon Chongwattananukul

Bookmark and Share
Bookmark and Share

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"กระชาย-ตะไคร้-อัญชัน" บำรุงไต สายตา แก้เพลีย

Pic_55365

ตะไคร้-กระชาย-อัญชัน

สูตร ดังกล่าวมีวิธีทำง่ายๆ คือ เอากระชายสด 50 กรัม ตะไคร้สด 50 กรัม และดอกอัญชันสด 30 กรัม ต้มกับน้ำ กะโดยสายตาจนเดือดแล้วดื่มขณะอุ่นทุกวัน วันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว หรือดื่มแทนน้ำ

ต้มดื่มติดต่อกัน 3-6 เดือน จะช่วยบำรุงไตสำหรับไตปกติให้แข็งแรง ไม่ใช่ดื่มเพื่อรักษาโรคไต บำรุงสายตาแก้ตาแห้ง บำรุงกำลังและแก้อาการอ่อนเพลีย ร่างกายกระชุ่มกระชวยดีมาก

กระชาย หรือ BOESENBERGIA ROTUNDA LINN. อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE  ประโยชน์ เหง้าและรากมีน้ำมันหอมระเหย เช่น CINEOL, BORNEOL, ใช้แต่งกลิ่นอาหารและแก้บิด ตะไคร้ CYMBOPOGON CITRATUS (NEES) STAPF. ชื่อสามัญ LEMON GRASS อยู่ในวงศ์ GRAMINAE ประโยชน์ ทั้งต้นเป็นเครื่องเทศ ทำเครื่องดื่ม เป็นยาขับปัสสาวะ ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ สารสำคัญคือน้ำมันหอมระเหยซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยสาร CITRAL และ GERANIOL อัญชัน หรือ CLITORIA TERNATEA LINN. ชื่อสามัญ BLUE PEA, BUTTERFLY PEA วงศ์ LEGUMINOSAE ประโยชน์ ดอกใช้แต่งสีขนม ใช้ทดสอบความเป็นกรด-ด่างแทนกระดาษ "ลิตมัส" น้ำคั้นจากดอกทาทำให้ผมขึ้นและคิ้วดก ซึ่งจะได้ผลดีในเด็ก

ครับ หนังสือ "สมุนไพรไม้ประดับหายาก" เล่มที่ 4 ของ "นายเกษตร" สี่สีทั้งเล่ม หนา 256 หน้า มีสูตรยาและไม้ดอกไม้ผลหายากมากกว่า 150 ชนิด พิมพ์จำนวนจำกัด ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อ สั่งจ่าย "คุณนงลักษณ์ ศรี-อัชรานนท์" ตู้ ปณ.48 ปณ. สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 ระบุที่ส่งกลับให้ชัดเจน หนังสือถึงมือไม่ช้า หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ข่อยสีฟัน เป็นผงไม่มีฟอง รักษาเหงือกทำให้ฟันทนและใส, ครีมทาแก้มสวย ทำจากฟางสวยเป็นธรรมชาติ, ครีมโลดทะนง รักษาสิวฝ้าทำให้หน้าเนียนใสรูขุมขนตีบลง, โทนเนอร์เช็ดหน้า ขจัดสิ่งตกค้างออกจากรูขุมขน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ ช่วยให้หน้ากระชับ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน บำรุงไต บำรุงกำลัง,

ตรีผลา ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ครีมนวดผมตะไคร้ ผสมโปรวิตามินบี 5, ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจ, เซรั่มสกัดจากธัญพืช บำรุงผิวหน้าชั้นนอกและชั้นใน โทร.0––2275–2692 ครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/55365
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party

"นางแลวดอกม่วง" อร่อยรากเป็นยา

Pic_54830

นาง แลว เป็นไม้ป่าที่พบขึ้นตามป่าดงดิบ ป่าแล้ง ป่าดิบเขา ทุกภาคของประเทศไทย แต่จะมีมากที่สุดทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะขึ้นอยู่ตามริมห้วย ริมลำธาร เป็นกอกว้างจำนวนมาก ชาวบ้านที่มีอาชีพหาของป่าไปขายในตลาดตัวเมือง นิยมเด็ดเอาเฉพาะดอกนำลงจากเขาไปจำหน่ายให้คนซื้อไปปรุงเป็นอาหาร บางครั้งจะถอนทั้งต้นกลับไปปลูกริมรั้วบ้านเพื่อเก็บดอกกินและขายเป็นรายได้ เสริม ซึ่งนางแลวที่กล่าวถึงเป็นชนิดที่มีดอกสีขาว นิยมเอาดอกลวกจิ้มน้ำพริกชนิดต่างๆ หรือปรุงเป็นแกงกับปลาแห้ง แกงผักรวม แกงแครวมกับผักอย่างอื่น รสชาติอร่อยมาก ชาวเหนือนิยมรับประทานกันอย่างกว้างขวาง

ส่วน "นางแลวดอกม่วง" เป็นอีกชนิดหนึ่งที่เพิ่งพบมีต้นวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ เมื่อไม่นานมานี้ โดยขายเป็นกอ 6-7 ต้น กำลังมีดอกตูมสีม่วงยังไม่บานติดมากับต้น ซึ่งผู้ขายบอกว่า เวลาดอกบานจะเป็นสีม่วงเข้มสวยงามน่ารักมากและดูคล้ายดอกบัว จึงถูกเรียกว่า "นางแลวดอกม่วง" สามารถปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกเป็นผักริมรั้วเก็บดอกรับประทานได้เช่นเดียว กับนางแลวชนิดที่มีดอกสีขาวทุกอย่าง

นางแลวดอกม่วง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์เหมือนกับชนิดดอกสีขาวทุกอย่างคือ ASPIDISTRA  SUTEPENSIS K.LARSEN อยู่ ในวงศ์ LILIACEAE เป็นไม้ล้มลุกมีเหง้าใต้ดิน ต้นและใบสูงประมาณ 80-100 ซม. แตกต้นเป็นกอขนาดใหญ่และกว้าง ต้นและใบแทงขึ้นจากเหง้าใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปเรียวแหลม ปลายแหลม โคนใบป้านลึก ก้านใบสั้น โคนก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ใบยาวประมาณ 40-45 ซม. กว้าง 4-5 นิ้วฟุต แกนกลางใบค่อนข้างแข็งมองเห็นชัดเจน เวลาแตกกอใหญ่และมีใบดกจะเป็นกอน่าชมมาก

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆจากโคนต้น หรือจากเหง้าใต้ดิน ชูก้านขึ้นเหนือดิน โดยก้านช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 8-10 ซม. ก้านช่อเป็นสีขาว ดอกขณะยังตูมผิวดอกจะเป็นสีม่วงชัดเจน เมื่อบานกลีบดอกจะเป็นสีม่วงเข้มสวยงามมาก ดอกจะมีได้เรื่อยๆ แต่จะมีดอกเยอะในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเหง้าหรือหน่อ ปัจจุบัน "นางแลวดอกม่วง" มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 24 แผง "คุณหล้า–คุณแก้ว–คุณนิด" ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป ชอบน้ำ เวลามีดอกจะสวยงามมากและเก็บดอกกินเป็นอาหารได้ ส่วน รากรสขมเฝื่อนต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้หรือแก้ไอได้ครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/54830
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party

เทรนด์โซเชียลเน็ตเวิร์ค 2010 'เรียลไทม์' มาแรงแซงทุกโค้ง

 
เมื่อ “อินเทอร์เน็ต” กลายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ด้วยประโยชน์ในการติดต่อและเชื่อมโยงข้อมูลทั่วโลก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อินเทอร์เน็ตจะถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ ในทางที่ผิด ขณะเดียวกัน ยังทำให้เกิดกระแส “โซเชียลเน็ตเวิร์คกิ้ง” (Social Networking) ฟีเวอร์ ทั้ง ไฮไฟว์ (Hi5) , มายสเปซ (MySpace) , เฟซบุ๊ค (Facebook) , ทวิตเตอร์ (Twitter) และ มัลติพลาย (Multiply) ที่เรียกว่าชิทแชทกันทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กระดับประถมถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน ด้วยจุดเด่นในการสื่อสารที่สะดวกสบายและฟีเจอร์ลูกเล่นต่างๆ ทำให้สังคมออนไลน์ดังกล่าวที่กล่าวข้างต้นได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก แต่สังคมออนไลน์ภายในปี 2552 ที่โดดเด่นและได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง ทั้งยังมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก คงหนีไม่พ้น 2 สังคมออนไลน์ชื่อดังอย่างเฟชบุ๊คและทวิตเตอร์
เว็บไซต์ “เฟซบุ๊ค” (www.facebook.com) ก่อตั้งโดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เพื่อใช้งานเฉพาะนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยฯ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2004 และขยายไปยังผู้ใช้ทั่วโลกเมื่อ 11 ก.ย. 2006 ด้วยรูปแบบและการใช้คล้ายกับไฮไฟว์ ให้เหล่าสมาชิกได้โพสต์ภาพถ่าย แสดงความคิดเห็น หรือเลือกเล่นสารพัดเกมได้ตามใจชอบ

ส่วน “ทวิตเตอร์” (www.twitter.com) เปิดให้บริการเมื่อ มี.ค. 2006 โดยบริษัท Obvious Corp สัญชาติอเมริกัน ด้วยการส่งข้อความที่ยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร เพื่อบ่งบอกสถานะหรือสิ่งที่ตนเองกำลังกระทำ เสมือนการส่งเสียงร้องของนก เพื่อแจ้งข่าวสารแก่ผู้อื่นที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของคุณ
จากจุดเด่นของคอนเทนต์ (Content) ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นมนต์เสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดความสนใจ ชวนให้หลงใหลและติดตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เสมือนเป็นหนึ่งในภารกิจประจำวันที่ต้องดำเนิน จึงไม่น่าแปลกใจที่จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ในประเทศไทยจะเติบโตอย่าง ต่อเนื่อง โดยขณะนี้ มีผู้ใช้เฟซบุ๊คทั่วโลกกว่า 350 ล้านราย แบ่งเป็นชาวไทยประมาณ 1.6 ล้านคน ส่วนจำนวนสมาชิกชาวทวิตเตอร์ในไทยนั้น คาดว่ามีทั้งสิ้นเพียง 3-4 หมื่นราย ขณะที่ ยอดผู้ใช้ทั่วโลกอยู่ที่ 18 ล้านคน

 

กระแสความนิยมและแนวโน้มการเติบโตที่ยังคงเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ผลิตและผู้ให้บริการหลากธุรกิจหันมาจับกระแสดังกล่าว พร้อมต่อยอดโอกาสทางธุรกิจของตน บ้างใช้เป็นช่องทางการทำตลาดหรือประชาสัมพันธ์ บ้างก็นำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจอย่างจริงจัง จนทำให้แนวโน้มในปี 2010 มีความเป็นไปได้มาก ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คกิ้งชื่อดังเหล่านี้ จะถูกนำเสนอด้วยรูปแบบเรียลไทม์ (Real Time) อย่างแท้จริง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคอย่างทันท่วงที ท่ามกลางความพร้อมของอุปกรณ์การสื่อสารและเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทั้งคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค เน็ตบุ๊ค หรือแม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเทคโนโลยีเครือข่ายระบบ 3G ที่แม้ในวันนี้ประชาชนไทยจะยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับเทคโนโลยีล้ำหน้าอย่าง 3G อย่างแท้จริง แต่ต้องยอมรับว่า กระแสการตอบรับเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก เรียกว่า ไม่ว่าจะหยิบจับอุปกรณ์อะไร ก็จะต้องเห็นสัญลักษณ์ F และ T ปรากฏอยู่ร่ำไป

หากกล่าว ว่ากระแสเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ฟีเวอร์ เป็นกระแสต่อเนื่องก็คงจะไม่ผิดนัก ในเมื่อสังคมและโลกยังคงหมุนไปไม่สิ้นสุด เทคโนโลยีก็ถูกพัฒนาให้ทันสมัยและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้อย่าง ครบถ้วนและครอบคลุม แม้วันนี้ เราจะสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของผู้อื่นผ่านสังคมออนไลน์ได้ตามใจนึก แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ แต่ละคนอาจมีดาวเทียมคอยจับสัญญาณและรายงานความเคลื่อนไหวได้ประหนึ่งถูก ถ่ายทอดสด ดังตาเห็น

http://www.thairath.co.th/content/tech/55748

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทคนิคอ่านหนังสือ"ขั้นเทพ"

วันที่ 05 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11562 มติชนรายวัน


เทคนิคอ่านหนังสือ"ขั้นเทพ"





การ อ่าน ถือเป็นอาหารสมองชั้นเลิศของสมอง ดั๊บเบิ้ล เอ จัดโครงการ "ฝึกคิด สะกิดอ่าน กับ Double A Smart Kids" ขึ้น เพื่อเสริมสร้างเทคนิคการอ่าน การเขียน และการจดจำ ให้สามารถนำไปปรับใช้กับการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ โดยได้ "พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน" ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ อีกทั้งยังเป็นคุณแม่ของลูกเจ้าของรางวัลเหรียญทองโอลิมปิคทางด้านวิชาการ สาขาชีววิทยา เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มาเผยเทคนิคการอ่าน การเขียน และการจดจำ

พญ.จิตราแนะนำว่า เทคนิคการอ่านเพื่อสร้างความจดจำ ไม่มีอะไรซับซ้อน เริ่มต้น 1.เตรียมพร้อมที่จะอ่าน โดยสร้างความสนใจ และเห็นความสำคัญในสิ่งที่จะอ่าน 2.หาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่มีเสียงรบกวน 3.นั่งตัวตรงที่ขอบเก้าอี้ ไม่พิงพนัก 4.ปิดตาหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อผ่อนคลาย ใช้นิ้วชี้นำข้อความไปเรื่อยๆ 5.อ่านบทนำ หัวข้อ ของผู้เขียน เพราะจะเป็นการรวบรวมเนื้อหาและขอบเขตของเนื้อหาทั้งหมด 6.ระหว่างอ่านต้องเตือนตัวเองว่าเนื้อเรื่องพูดถึงใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร 7.อ่านเนื้อหา ไม่ต้องอ่านทุกคำ บางครั้งช่วยด้วยการอ่านออกเสียง และที่สำคัญคือ 8.หลังอ่านจบ สรุปเนื้อหาสั้นๆ ซึ่งตรงนี้จะทำให้สามารถกลับมาทบทวนได้ง่าย ไม่ต้องมาอ่านหมดทั้งหน้าอีก และหากนำไปใช้บ่อยๆ ก็จะทำให้อ่านเร็วขึ้น ไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันกับการอ่านหนังสือเพียงหน้าเดียวแล้วก็จำอะไรไม่ได้


จิตรา วงศ์บุญสิน



"หลัง จากอ่านหนังสือจบ จะต้องมีการทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง เพราะจากการทดลอง พบว่า หากทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง จะทำให้จำได้ถึง 80% และใช้เวลาน้อยมากในการอ่านทบทวน ซึ่งต่างจากคนที่ทบทวนภายใน 7 วัน จะจำได้เพียง 50% ส่วนคนที่ทบทวนก่อนสอบจะจำได้เพียง 20-30% เท่านั้น"

ปิด ท้ายด้วยเทคนิคการจำ พญ.จิตราบอกว่า ให้ใช้การจำโดยการแต่งเรื่องสนุกๆ โดยนำคำต่างๆ หรือเรื่องที่ต้องการจำมาแต่งเป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นเรื่องตลก เป็นต้น หรืออีกวิธีคือ การจำโดยใช้แผนที่ หรือที่เรียกว่า Mind Mapping ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้เข้าใจง่าย และจำได้ง่ายขึ้น โดยบางครั้งอาจจะใช้วิธีการวาดรูปแทนข้อความบางข้อความเพื่อสร้างความจดจำ

เทคนิคง่ายๆ แต่ได้ประโยชน์มหาศาล


หน้า 25
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad02051152&sectionid=0115&day=2009-11-05
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โยคะเพื่อชีวิต

โยคะเพื่อชีวิต

 

บทเรียนการฝึกโยคะ ตามหลักสูตรของ สถาบัน ไกวัลยธรรม ประเทศอินเดีย (เบื้องต้น)
บทเรียนการฝึกโยคะ ตามหลักสูตรของ The Sivananda Yoga Center (ชั้นสูง)

คลิกดูภาพประกอบรวมเว็บโยคะ
 
www.thaiall.com/yoga
  www.thailabonline.com/excercise-yoka.htm
 
www.siamhealth.net/alternative/yoga/intro.htm
 
www.healtouch.com/yoga

โยคะ ไม่ใช่เพียง "การออกกำลังชนิดหนึ่ง" อย่างที่หลายคนเข้าใจ และโยคะก็ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การกำลังกาย+การกำหนดลมหายใจเข้าออก+การทำสมาธิ ไปพร้อมๆกันเท่านั้น

โยคะแปลว่าอะไร

คำว่า โยคะ มาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งรากศัพท์ แปลว่า รวม เต็ม integration หรือที่เราคุ้นกันว่า องค์รวม

สภาวะแก่นแท้ของโยคะ 3 ประการ คือ
....................

1 การรวมกาย - จิต เข้าด้วยกัน อันหมายถึง การมีสติรู้อยู่กับกายตลอดเวลา
2 ความสมดุล ทั้งสมดุลภายในตนเอง สมดุลระหว่างตนเองกับผู้อื่น และสมดุลระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อม
3 การพัฒนา โดยเฉพาะการฝึกจิตให้นิ่ง การบริหารจิตให้เข้มแข็ง ตลอดจนยกระดับจิตให้สูงขึ้น

คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของโยคะ

โยคะ คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการฝึกตนเอง อันมีรากฐานมาจากอินเดียโบราณ
เป้าหมายของโยคะ คือ พัฒนาตัวมนุษย์ในทุกๆมิติ เช่น กาย จิต อารมณ์ บุคลิกภาพ ฯลฯ อย่างเป็นองค์รวม

การเข้าสู่แก่นของโยคะนั้น

ประกอบ ด้วยเทคนิคอันหลากหลาย โดยลักษณะร่วมของเทคนิคโยคะทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องกาย-จิตสัมพันธ์ แม้แต่ละเทคนิคจะมีกระบวนการช่องทางต่างกัน แต่ทุกเทคนิคก็ล้วนสนับสนุนซึ่งกันและและกัน

ใครฝึกโยคะได้บ้าง

ทุกคนโดยไม่จำกัดอายุ เพศ เชื้อชาติ หรือศาสนาใดๆ แม้คนพิการก็ฝึกโยคะได้

โยคะมีกี่ชนิด

โยคะมี เพียงหนึ่งเดียว แม้จะมีชื่อเรียกต่างๆกันมากมาย ความแตกต่างของโยคะ เป้นเพียงความแตกต่างของเทคนิคการสอน เนื่องเพราะผู้เรียนมีความหลากหลายนั่นเอง ทุกวันนี้ บางโรงเรียนก็เน้นให้ฝึกการปฎิบัติท่า บางดรงเรียนจะเน้นเรื่องศรัทธาความเชื่อ ส่วนโครงการเผยแพร่ เน้นการทำความเข้าใจโยคะอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แกละยึดหลักตำราดั้งเดิม เป้าหมายสุดท้ายของโยคะ ก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียวเสมอ คือ นำมนุษย์ไปสู่ โมกษะ หรือ ความหลุดพ้น

การเตรียมกาย-ใจ ก่อนฝึกอาสนะ การบริหารข้อ 

ท่าเตรียม นั่งบนพื้นราบ เหยียดขาไปด้านหน้า เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ฝ่ามือยันตัวไว้ พักร่างกายสบายๆ หายใจตามปกติ

Hosted by Tinypic.com

งุ้ม กางข้อนิ้วเท้า ส่วนอื่นของร่างกาย นิ่ง สบาย ค่อยๆงุ้มนิ้วเท้าเข้าจนสุด จากนั้น เหยียดกางนิ้วเท้าจนหลังเท้าตึง ทำ 10 รอบ จะทำพร้อมๆกัน หรือทีละข้างก็ได้

Hosted by Tinypic.com

เหยียดข้อเท้า เหยียดปลายเท้าทั้ง 2 ข้างไปข้างหน้า จนหลังเท้าตึง ดึงเท้าทั้งสองกลับจนน่องตึง กำหนดรู้อยู่ที่ข้อเท้า ซึ่งเป็นจุดหมุนของการเคลื่อนไหว ทำ 10 รอบ

Hosted by Tinypic.com

หมุนข้อเท้า ให้ข้อเท้าเป็นจุดศูนย์กลาง ค่อยๆหมุนเท้าเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา 10 รอบ แล้วหมุนทวนเข็มนาฬิกาอีก 10 รอบ ขณะทำ ตั้งใจวาดเท้าให้เป็นวงกลมใหญ่

Hosted by Tinypic.com

เหยียดเข่า หากนั่งบนเก้าอี้ให้ทำตามรูป หากนั่งบนพื้นให้ชันเข่า ใช้มือช่วยรวบหน้าแข้งเข้าชิดตัว แล้วเหยียดขาคืนกลับ ทำทีละข้าง ข้างละ 10 รอบ

Hosted by Tinypic.com

หมุนเข่า หากนั่งบนเก้าอี้ให้ทำตามรูป หากนั่งบนพื้น ให้ดึงต้นขามาแนบชิดลำตัว เอามือสอดไว้ใต้เข่า ปล่อยปลายขาห้อยไว้ วาดปลายเท้าเป็นวงกลม หมุนขาส่วนล่าง โดยให้เข่าเป็นจุดศูนย์กลาง หมุนทวนและตามเข็มนาฬิกา อย่างละ 10 รอบ แล้วทำสลับที่ขาอีกข้าง

Hosted by Tinypic.com

บริหารข้อสะโพก (ท่าผีเสื้อ) ประกบ ฝ่าเท้าทั้งสองเข้าหากัน ดึงส้นเท้าเข้าชิดลำตัว มือรวบปลายเท้าไว้ ขยับเข่าทั้งสองข้างขึ้นและลง คล้ายผีเสื้อกำลังกระพือปีก ทำ 20 รอบ ตอนท้าย ลองเอามือกดเข่าลงชิดพื้น เพื่อให้ข้อสะโพกเหยียดตึง

Hosted by Tinypic.com

ท่าบิดเอว นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง กางแขนทั้งสองข้างเสมอแนวไหล่ คว่ำฝ่ามือ ค่อยๆลดเข่าทั้งสองลงข้างซ้าย พร้อมกับบิดลำตัว หันหน้าไปทางขวา นิ่งไว้สักครู่ จึงคืนกลับ แล้วทำสลับข้าง ทำ 2 รอบ

Hosted by Tinypic.com

ข้อนิ้วมือ กางนิ้วมือเต็มที่ แล้วกำหมัดแน่น ทำ 10 รอบ ระหว่างกำ ให้นิ้วโป้งอยู่ในกำหมัด

Hosted by Tinypic.com

เหยียดข้อมือ ตั้งฝ่ามือขึ้นฉาก แล้วพับฝ่ามือลง ปลายนิ้วชี้พื้น ข้อมือเหมือนบานพับ ทำ 10 รอบ

Hosted by Tinypic.com

หมุนข้อมือ กำหมัดหลวมๆ แล้วหมุนหมัดเป็นวงกลม โดยให้ข้อมือเป็นจุดศูนย์กลาง ทำตามเข็มและทวนนาฬิกา อย่างละ 10 รอบ

Hosted by Tinypic.com

เหยียดข้อศอก พับศอกจนนิ้วมือแตะไหล่ แล้วเหยียดแขนออกสุด ทำ 10 รอบ

Hosted by Tinypic.com

หมุนข้อศอก ยกแขนขึ้น นำฝ่ามือซ้ายไปรองใต้ศอกขวา วาดมือเป็นวงกลม โดยใช้ข้อศอกเป็นจุดศูนย์กลาง หมุนตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา อย่างละ 10 รอบ จากนั้นทำสลับข้าง

Hosted by Tinypic.com

ยกไหล่ ปล่อยมือวางข้างลำตัว ค่อยๆยกไหล่ขึ้น แล้วลดไหล่ลง ทำ 3 รอบ

Hosted by Tinypic.com

หมุนไหล่ พับศอก นำมือแตะไหล่ ปิดศอกเข้าชิดกัน วาดศอกเป็นวงกลม โดยให้ไหล่เป็นจุดศูนย์กลาง วาดศอกขึ้นด้านบนแล้วอ้อมไปด้านหลัง 3 รอบ แล้ววาดศอกย้อนทิศทางลงด้านล่าง แล้วจึงอ้อมมาด้านหน้าอีก 3 รอบ

Hosted by Tinypic.com

บริหารคอ ทิศทางแรก หันหน้าซ้าย-ขวา ทิศทางที่สอง เอียงศรีษะซ้าย-ขวา ทิศทางที่สาม เงยและก้มคอ ทำอย่างละ 1-2 รอบ

ในเมื่ออาสนะไม่ใช่การออกกำลังกาย แล้วอาสนะช่วยให้ผู้ฝึกมีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างไร?

เมื่อ ดูเพียงผิวเผิน คนทั่วไปจะเข้าใจว่า อาสนะ คือการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง คนหลายคนถึงกับทำอาสนะด้วยนิยามของแอโรบิคเลยด้วยซ้ำ คือทำจนหัวใจเต้นแรงขึ้นกว่า 120 ครั้งต่อนาที เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 30 นาที เหงื่อออกโทรมกาย แล้วเกิดความรู้สึกว่า ตนเองได้ "ทำ" โยคะแล้ว
ครั้น เมื่อได้ศึกษาตำราดั้งเดิมของโยคะ ซึ่งระบุไว้เป็นที่ชัดเจนว่า อาสนะนั้น ต้องปฏิบัติด้วยความ นิ่ง สบาย ใช้แรงแต่น้อย ก็เกิดความสงสัยว่า งั้นเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการฝึกอาสนะ? จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สนใจโยคะจริงจัง ต้องมีความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ถึงธรรมชาติของอาสนะ เข้าใจผลของอาสนะตามที่เป็นจริง ซึ่งจะเอื้อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตน




โยคะไม่ใช่อะไร

กระดูกสันหลังที่ยืดหยุ่น
เรา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การฝึกชุดท่าอาสนะของโยคะ คือการเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังไปในทิศทางต่างๆเท่าที่จะเคลื่อนได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ทิศทางคือ 1) การแอ่นกระดูกไปด้านหลัง 2) การก้มกระดูกสันหลังไปด้านหน้า 3) การบิดกระดูกสันหลัง และ 4) การ เอียงกระดูกสันหลัง เมื่อมนุษย์เคลื่อนไหวกระดูกสันหลังไปในทิศทางที่หลากหลายอย่างสม่ำเสมอทุก วัน ผลก็คือ การมีกระดูกสันหลังที่ยืดหยุ่น ซึ่งหมายถึงการมีกระดูกสันหลังที่ทำงานได้เป็นปกติ

สิ่งสำคัญอีกประการที่เกี่ยวเนื่องกับ กระดูกสันหลังคือ ระบบประสาท เพราะกระดูกสันหลังถือเป็นอวัยวะที่สำคัญยิ่งในการดูแลให้ระบบประสาททำงาน ได้เป็นปกติ ผู้ที่รักษากระดูกสันหลังของตนเองให้เป็นปกติ ก็คือผู้ที่กำลังดูแลระบบประสาทของตนให้ทำงานได้เป็นปกตินั่นเอง

 ระบบไหลเวียนของเลือดที่ทำงานได้เป็นปกติ โดยใช้พลังงานน้อยมาก
ตลอด เวลาของการฝึกท่าอาสนะ ผู้ฝึกจะรับรู้ถึงการไหลเวียนของเลือดได้อย่างชัดเจน เช่น บางขณะ ก็รู้สึกเลือดไปออคั่ง ณ จุดใดจุดหนึ่ง รับรู้ถึงสัญญาณชีพจรที่เต้นจนรู้สึกได้ที่จุดนั้นๆ บางท่าทำแล้วรู้สึกอุ่น หรือรู้สึกชาทันที อันล้วนเป็นกลไกของระบบไหลเวียนของเลือดทั้งสิ้น นอกจากนั้น เราทำท่าอาสนะสลับการพักโดยตลอด และทุกครั้งที่พัก เราก็จะรับรู้ถึงผลการไหลเวียนของเลือด ที่เกิดขึ้นจากท่าที่เพิ่งทำผ่านไปอย่างชัดเจน

จะเห็นได้เลยว่าอาสนะก็เป็นการกระตุ้น ให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยการทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเป็นส่วนๆตามแต่ละท่า ผลที่เกิดขึ้นกับระบบไหลเวียนของเลือด จากอาสนะ จึงมิได้ด้อยไปกว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิค (ที่มุ่งเน้นให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยวทั่วร่างกาย) เลย แต่ที่ต่างกันมากก็คือ การออกกำลังกาย เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ขณะที่อาสนะนั้น เน้นให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเฉพาะอวัยวะสำคัญๆภายในช่องท้อง ช่องทรวงอก และศีรษะเท่านั้น ไม่เน้นที่กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขา

หรือเราสามารถกล่าวได้ว่า ท่าอาสนะให้ประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนของเลือดได้ไม่แพ้การออกกำลังกาย แต่ใช้แรงน้อยกว่ากันมาก โดยไม่ต้องให้หัวใจรับภาระ ขณะเดียวกัน เพราะอาสนะไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อแขน ขา มากมาย จึงไม่เกิดกรดแลคติค ที่ส่งผลให้เกิดความเมื่อยล้าหลังฝึก

ธรรมชาติของอาสนะข้อนี้ ทำให้โยคะสามารถฝึกได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ต่างไปจากการออกกำลังกาย ที่ผู้ปฏิบัติต้องมีร่างกายที่แข็งแรงพอสมควรเป็นพื้นฐานเสียก่อน

ที่สำคัญ เราจะพบว่า ลักษณะของการทำอาสนะคือ การเก็บ การสงวนพลังงาน ไม่ใช่การโหมใช้พลังงานแบบการออกกำลังกาย ผู้ฝึกอาสนะเสร็จ จึงมีความรู้สึกสดชื่น พร้อมที่จะไปทำกิจกรรมอื่นๆในชีวิตประจำวัน ต่างจากผู้ออกกำลังกายเสร็จ ที่เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และต้องการที่จะพัก

การกดนวดอวัยวะสำคัญๆ ภายในช่องลำตัว
ใน บรรดาศาสตร์เพื่อการดูแลร่างกายมนุษย์อย่างพึ่งตนเอง ดูก็จะมีเพียงอาสนะเท่านั้น ที่ทำให้เกิดการกดนวด อวัยวะต่างๆภายในช่องท้อง ช่องทรวงอก และศีรษะ การกดนวดอวัยวะภายใน มีแนวโน้มที่จะทำให้กลไกการทำงานของอวัยวะของระบบต่างๆ ทำงานได้ดี ทำงานได้เป็นปกติ เช่น การกดนวดท้องน้อยของท่าตั๊กแตน ที่เอื้อต่อการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ที่ส่งผลให้กลไกระบบขับถ่ายของผู้ฝึกดีขึ้น

เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่าโยคะมุทรา ซึ่งมีความหมายว่า สัญลักษณ์แห่งโยคะ ทำให้เกิดการกดนวดตามจุดต่างๆอันเป็นที่ตั้งของต่อมไร้ท่อได้อย่างครบถ้วน กล่าวคือ ลักษณะเด่นมากอันหนึ่งในการทำอาสนะ คือการดูแลกลไกการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ให้เป็นปกตินั่นเอง

จากลักษณะสำคัญ 3 ประการ ที่ยกมาข้างต้น คือ กระดูกสันหลัง การไหลเวียนของเลือด และ การกดนวดอวัยวะภายใน เมื่อพิจารณาลึกลงไป จะพบว่า ระบบที่ได้รับการดูแลจากท่าอาสนะคือ ระบบประสาท ระบบไหลเวียนของเลือดและระบบภูมิคุ้มกัน (ซึ่งทำงานควบคู่ไปกับระบบเลือด) และระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งทั้ง 3 ระบบ นี้ คือองค์ประกอบสำคัญของกลไก โฮมีโอสตาซิส หรือการจัดปรับสมดุลภายในร่างกายนั่นเอง ยิ่งเมื่อพิจารณาหลักการสำคัญของโยคะคือความสมดุล จึงน่าจะเป็นการเหมาะสมที่จะกล่าวว่า อาสนะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพกายของผู้ฝึก คือ การสร้าง และจัดปรับสมดุล ของการทำงานของระบบต่างๆภายในร่างกาย เป็นการเหมาะสมกว่าที่จะกล่าวว่า กุญแจสำคัญของอาสนะคือ โฮมีโอสตาซิส ข้อสรุปนี้ ดูจะตรงกับลักษณะธรรมชาติของอาสนะมากกว่า ที่จะใช้กรอบของการออกกำลังกายแบบแอโรบิคมาอธิบายอาสนะ

 กล้ามเนื้อก็ได้ประโยชน์ แต่เป็นกล้ามเนื้อลึกชั้นใน
รูปธรรมที่สร้างความสับสน ทำให้คนมองอาสนะเป็นการออกกำลังกายก็คือกล้ามเนื้อ เราควรมีทัศนคติต่อเรื่องนี้อย่างไร

โยคะมองความสำคัญของร่างกายที่อวัยวะสำคัญๆ ศัพท์เฉพาะที่ใช้คือ vital organs ซึ่งหมายถึง อวัยวะที่สำคัญถึงชีวิต อวัยวะเหล่านี้ ล้วนอยู่ในช่องท้อง ช่องทรวงอก ศีรษะ ทั้งสิ้น ขณะที่โยคะเรียกแขน ขาว่า แขนง (limps) อันหมายถึงสิ่งที่ไม่มีก็ยังมีชีวิตอยู่ได้

หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง ท่าอาสนะล้วนมุ่งเน้นที่กล้ามเนื้อที่ประกอบอยู่กับอวัยวะที่สำคัญถึงชีวิต ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อซี่โครง กระบังลม กล้ามเนื้อลึกชั้นในที่ทำหน้าที่พยุงกระดูกสันหลัง ฯลฯ

ที่สำคัญที่สุด ธรรมชาติของท่าอาสนะ คือนิ่ง นั่นหมายถึงว่า อาสนะไม่ใช่การออกกำลังกายแบบ ไอโซโทนิค ขณะเดียวกัน อาสนะก็เตือนให้เราคอยระลึกถึงการใช้แรงแต่น้อย ซึ่งชี้ว่า อาสนะ ก็ไม่ใช่การออกกำลังกายแบบ ไอโซเมตริกด้วย สำหรับเรื่องกล้ามเนื้อแล้ว ดูเหมือนอาสนะอยากให้เราพัฒนา มัสเซิลโทนมากกว่า คือ ทำอย่างไร ให้เราอยู่ในอิริยาบถหนึ่งๆได้นาน โดยใช้แรงน้อยที่สุด ยิ่งเมื่อพิจารณาจากตำราดั้งเดิม ที่ระบุว่า เป้าหมายแห่งอาสนะคืออาสนะชัย คือ "การนั่งนิ่ง หลังตรง เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันโดยไม่เมื่อย" (พูดภาษาไทยก็คือ การนั่งสมาธิให้ได้ 3 ชั่วโมงนั่นเอง) ก็จะยิ่งเห็นความสำคัญของ มัสเซิลโทนในอาสนะมากกว่าตัวอื่นๆ

จึงเป็นการเหมาะสมกว่า หากจะสรุปว่า กุญแจสำคัญของกล้ามเนื้อในอาสนะคือ การพัฒนามัสเซิลโทน

ระบบประสาท - กล้ามเนื้อสัมพันธ์
ประโยชน์สำคัญของอาสนะอีกประการหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่ละเลย คือ กลไกประสาท กล้าม เนื้อสัมพันธ์ หากพิจารณาให้ดี ทุกๆการกระทำของมนุษย์ เป็นกระบวนการสื่อสารระหว่างสมองที่เป็นศูนย์สั่งการ และ กล้ามเนื้อที่เป็นผู้กระทำเสมอ เมื่อเราเติบโตขึ้น มีความสามารถกระทำสิ่งต่างๆได้อย่างชำนาญ มีความเคยชินจนกระทั่งละเลยความจริงข้อนี้ไป ปัญหาสุขภาพหลายประการมาจากการละเลยข้อเท็จจริงง่ายๆข้อนี้ เช่น คนตัวสูงที่ยืนก้มคอจนเป็นนิสัย และมีปัญหากระดูกต้นคอในภายหลัง หรือเช่น คนที่ก้มหลังเพื่อยกของหนัก จนทำให้หลังยอก

สาระสำคัญในการทำอาสนะคือการเคลื่อนไหว ที่ช้า เพื่อให้ผู้ฝึก สามารถสำรวจรู้กลไก ความเป็นไป ระหว่างการทำงานของกล้ามเนื้อ กับ การทำงานของประสาท ผู้ที่ฝึกโยคะจนชำนาญ ก็จะพัฒนาความรู้ตัวต่อกลไกนี้ได้มากขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการมีสุขภาพที่เป็นปกติของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกัน ไม่ให้โครงสร้างร่างกายของตนเองผิดปกติ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองบาดเจ็บจากอิริยาบถในชีวิตประจำวัน

เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งหมดของโยคะ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่มุ่งพัฒนามนุษย์ในทุกๆมิติอย่างเป็นองค์รวม โดยให้ความสำคัญกับจิตเป็นหลัก การตีความกุญแจสำคัญของอาสนะ ว่าหมายถึง โฮมีโอสตาซิส ว่าหมายถึง มัสเซิลโทน ดูจะสอดคล้อง ตรงตามตำราดั้งเดิม ตรงตามเป้าประสงค์ของโยคี ผู้คิดค้นและพัฒนาศาสตร์นี้ โดยหวังจะพามนุษย์ไปสู่ ความสมดุลของกาย ความนิ่งของลมหายใจ ความสงบของจิต เพื่ออิสระหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

ข้อควรระลึก ในการทำอาสนะ

ตลอดการฝึกอาสนะ ควรเป็นไปทีละขั้นๆ อย่างช้าๆ นุ่มนวล ทั้งตอนเข้า และตอนออกจากท่า
พยายามคงในตำแหน่งสุดท้ายไว้สักครู่ โดยไม่ฝืน ไม่โหมเกินขีดจำกัดของตน
การฝึกอาสนะ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเปรียบเทียบ แข่งขันใดๆ
ในการทำอาสนะ อย่ากังวลกับการหายใจ การหายใจเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ร่างกายจัดปรับไปตามสภาพ

ประเภทของอาสนะ

1   อาสนะเพื่อการผ่อนคลาย
2  
อาสนะเพื่อการสร้างสมดุล
3   อาสนะเพื่อสมาธิ

หลักในการทำอาสนะ

สบาย ทำอาสนะด้วยความรู้สึกสบายตัว ไม่เกร็ง
นิ่ง อยู่ในอาสนะอย่างมั่นคง นิ่ง สงบ
ใช้แรงแต่น้อย ใช้ความพยายามแต่น้อย ไม่จำกัดแค่ทางกาย แต่รวมถึงการใช้ความพยายามทางใจให้น้อยที่สุดด้วย
มีสติ คือการมีสติกำหนดรู้ รู้ตัวอยู่ทุกขณะ

ลักษณะของอาสนะ

1  ก้มตัวไปข้างหน้า
2  
แอ่นตัวไปข้างหลัง
3 
บิดตัว
4  เอียงตัวไปทางด้านข้าง

เวลา

เวลาที่เหมาะในการฝึกโยคะ คือ ยามเช้า ฝึกทำโยคะจนเป็นนิสัย เฉกเช่นกิจวัตรประจำวันอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

ปริมาณเวลา

จัดปรับตามความเหมาะสมของแต่ละคน ประมาณวันละ 15 – 60 นาที

สถานที่

สถานที่ฝึกอาสนะควรเป็นที่สงบ อากาศถ่ายเทได้สะดวก

ลำดับในการทำอาสนะ

ท่าอาสนะแต่ละท่าเป็นอิสระจากกัน โดยเฉพาะในการฝึกท่าง่ายๆในเบื้องต้น ไม่มีข้อบังคับในเรื่องของการเรียงลำดับท่าอาสนะแต่อย่างใด

อาหาร

ทำอาสนะควรฝึกตอนท้องว่าง ว่างจากอาหารหนัก 4 ชั่วโมง หรือว่างจากอาหารเบาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

ข้อจำกัดของสตรี

อาสนะ เป็นผลดีต่อมนุษย์ทั้งชายและหญิง อย่างไรก็ตาม ในช่วงมีประจำเดือน แรงกดจากท่าอาสนะอาจกระทบกระเทือนต่ออวัยวะของระบบสืบพันธุ์ เช่น อาจทำให้เลือดออกมากขึ้น จึงควรงดการฝึกอาสนะ โดยเฉพาะท่าที่เกิดแรงกดในบริเวณดังกล่าว ผู้หญิงมีครรภ์จะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะทำอาสนะใดๆ
...........................................................................................................................

ท่าศพ Savasana ชวะอาสนะ

.

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
นอนหงาย กางขาประมาณ 1 ฟุต กางแขนประมาณ 1 ฟุต หงายฝ่ามือ
ประโยชน์
ผ่อนคลาย ทั้งร่างกาย และ จิตใจ ลดความเครียด ช่วยให้เราเฝ้าสังเกต ความรู้สึกภายในตัวเอง ได้ดีขึ้น
สร้างความคุ้นชินกับการอยู่ในท่าศพ ปล่อยวางจาก ความกลัวตาย
คำแนะนำ
การหลับตา อาจช่วยให้ฝึกได้ดีขึ้น
คอยมีสติกำหนดรู้ ลมหายใจ
พักศรีษะสบายๆ จะตะแคงศรีษะก็ได้
ท่าศพไม่ใช่การนอนหลับ
หากง่วง ให้ลองขยับตัว เช่น รวบขาชิดสักพัก ให้รู้ตัวตื่น แล้วกลับไปอยู่ท่าศพต่อไป
.

 ท่าจรเข้ Makarasana มัคระอาสนะ

.

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
นอนคว่ำ
ขาทั้งสองกางออกราว 2 ฟุต ปลายเท้าชี้ออก
รวบแขน มือโอบไหล่ หรือจับต้นแขน
พักศรีษะบนปลายแขน
ประโยชน์
เป็นท่าผ่อนคลายสำหรับกลุ่มอาสนะในท่านอนคว่ำ
เป็นการนวดผนังหน้าท้องให้แข็งแรง
ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
คำแนะนำ
ควรให้หน้าท้องแนบติดพื้น
เหมาะสำหรับผู้มีอาการปวดหลัง ซึ่งไม่สามารถพักในท่าศพได้สะดวก
.

ท่างู Bhujangasana ภุชงคอาสนะ

.

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
1 เริ่มจากท่าจรเข้ แล้วเข้าสู่ท่าเตรียม ด้วยการรวขขาชิดกัน แขนชิดลำตัว หงายฝ่ามือ คางจรดพื้น
2 ยกมือวางเสมอและชิดทรวงอก หน้าผากจรดพื้น ตั้งศอกขึ้น ปิดศอกชิด
3 ค่อยๆยกขึ้นตามลำดับ จากหน้าผาก ศรีษะ ไหล่ และทรวงอก
ประโยชน์
บริหารกล้ามเนื้อหลัง ส่วนบน
เพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง
กดนวดช่องท้อง ลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยการขับถ่าย
คำแนะนำ
ค่อยๆยกศรีษะ ยกหลังขึ้นช้าๆ เสมือนว่าเรากำลังยกกระดูกสันหลังทีละข้อๆ
ไม่ยกสูงเกิน ให้สะดือแนบติดพื้นตลอด
อย่าเงยหน้ามากเกิน เพราะจะทำให้ปวดต้นคอได้
ทอดขาแนบพื้น ไม่เกร็งขา โดยเฉพาะช่วงเริ่มยก

.

ท่าตั๊กแตน Salabhasana ชาลภอาสนะ 

.

Hosted by Tinypic.com
Hosted by Tinypic.comHosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
จากท่าจรเข้ เข้าสู่ท่าเตรียม
ยกขาขึ้นทีละข้าง สลับกัน
ยกทั้ง 2 ขาขึ้นพร้อมกัน
ประโยชน์
บริหารกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง
กดนวดช่องท้อง
กระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย
คำแนะนำ
ยกขาขึ้นช้าๆ
ยกขาขึ้นทั้งท่อน ไม่งอเข่า คือยกต้นขาขึ้น โดยที่เข่าและปลายเท้าลอยติดขึ้นมาด้วย
ระวังไม่เงยคาง ไม่เกร็งแขน ไม่เกร็งไหล่ โดยเฉพาะตอนเริ่มยก
ไม่ยกสูง ท้องน้อยกดแนบพื้นอยู่ตลอด
.

ท่าคันไถ ครึ่งตัว Ardha Halasana อารดะหอาสนะ 

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
1 จากท่าศพ เข้าสุ่ท่าเตรียม โดยรวบขาชิดกัน แขนชิดลำตัว คว่ำฝ่ามือ
2 ยกขาขึ้นทีละข้าง ถึง 30 องศา รอสักครู่
3 ยกถึง 60 องศา รอสักครู่
4 ยอขาขึ้นสุด ยกเท่าที่ได้ โดยไม่เกิดมุมฉาก รอสักครู่ แล้วสลับทำอีกข้าง
5 จากนั้น ลองยกขา 2 ข้างพร้อมกัน ถึง 30 องศา รอสักครู่
6 ยกถึง 60 องศา รอสักครู่
7 ยก 2 ขาขึ้นสุด ยกเท่าที่ได้ อย่ายกเกินมุมฉาก
ประโยชน์
สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อสะโพก
บริหารอวัยวะในช่องท้อง เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และ ระบบขับถ่าย
ทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณขาดีขึ้น
คำแนะนำ
ยกขาช้าๆ ทั้งตอนขึ้น และตอนลง ไม่งอเข่า
ไม่เกร็งขาจนเกินไป ไม่ฝืนเกร็งหน้าท้องจนเกินไป ระวังการเป็นตะคริว
ท่านี้เป็นท่าที่ยาก ทำเอาเท่าที่ทำได้ อย่าฝืนตัวเอง ซึ่งจะทำให้เกิดอันตราย
ผู้มีปัญหาปวดหลัง ควรหลีกเลี่ยงท่านี้ หรือทำด้วยความระวังเป็นพิเศษ

.

ท่าเหยียดหลัง Shanu srisasana ชาณุ ศรีษอาสนะ 

.

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
1 จากท่านั่งพัก
2 รวบขาชิด ตั้งหลังตรง พับเข่าข้างหนึ่ง นำฝ่าเท้าไปวางชิดต้นขา ดึงส้นเท้าชิดสุดลำตัว
3 ยกมือทั้ง 2 ขึ้น
4 ค่อยๆเหยียดหลัง ลดตัวลง เอามือรวบจับที่ขา จากนั้นลดทรวงอก แล้วค่อยลดศรีษะลง หน้าผากจรดขา
ประโยชน์
เป็นการเหยียดเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ตลอดส่วนหลังของร่างกาย ทั้งบริเวณขา หลัง และคอ
เป็นการกดนวดอวัยวะในช่องท้อง
คำแนะนำ
ไม่งอเข่า
วางขาข้างที่เหยียดให้อยู่กึ่งกลางพอดี เพื่อตัวจะได้ไม่เอียง เกิดการเหยียดทั่วแผ่นหลัง
ในตอนเริ่มทำ ระวังอย่าให้ขาตึงเกินไป ซึ่งเป็นอันตราย และไม่เกิดประโยชน์เลย
ผู้เริ่มทำมักเหยียดได้ไม่มาก อย่าฝืนโดยเด็ดขาด ในเบื้องต้น มืออาจจับถึงที่บริเวณเข่าเท่านั้น

.

ท่าคีม Paschimotanasana ปัจฉิโมทนอาสนะ 

.

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
1 จากท่านั่งพัก รวบขาชิด นั่งหลังตรง ค่อยๆเหยียดหลัง ลดแผ่นหลังลงจนสุด มือจับไว้ที่ขา บริเวณที่เราจับถึง
2 หากมือแตะเท้าไม่ถึง ทำนิ้วชี้เป็นตะขอ เพื่อเกี่ยวนิ้วหัวแม่โป้ง
3 ลอทรวงอกลง แล้วจึงลดศรีษะลงเป็นลำดับสุดท้าย
ประโยชน์
เป็นการเหยียดอวัยวะบริเวณส่วนหลังทั้งหมด อย่างเต็มที่
กดนวดอวัยวะภายในช่องท้อง
เป็นท่ารักษาสุขภาพทั่วทั้งร่างกายอย่างเป็นองค์รวม
เป็นท่าที่ทำให้ผู้ฝึกเกิดความสงบ มีสติรู้ภายในได้ชัดเจน
คำแนะนำ
ไม่งอเข่า
ทำด้วยความรู้สึกว่าเรากำลังเหยียดหลัง ไม่ใช่กำลังก้มตัว
เนื่องจากกระดูกต้นคอเคลื่อนไหวได้ดีอยู่แล้ว ควรลดศรีษะลงด้วยความระมัดระวัง อย่าก้มศรีษะมากเกิน

.

ท่านั่งเพชร Vajrasana วัชระอาสนะ 

.

ขั้นตอนการฝึก
1 เข้าสู่ท่าเตรียม ด้วยการรวบขาชิด นั่งหลังตรง
2 ใช้มือช่วย พับเข่าทีละข้าง
3 แบะส้นเท้า วางก้นไว้ระหว่างเท้า ปลายนิ้วเท้าชิดกัน นั่งหลังตรง มือวางไว้บนเข่า
4 นั่งบนหลังเท้า ในเบื้องต้น อาจใช้มือช่วยพยุงน้ำหนักไว้
ประโยชน์
เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
ทำให้อวัยวะรอบกระดูกเชิงกรานแข็งแรง
เอื้อต่อความสงบ เอื้อต่อการนั่งสมาธิ
คำแนะนำ
นั่งบนหลังเท้า อย่านั่งบนส้นเท้า ซึ่งไม่ถนัด และเจ็บ
นั่งอย่างสงบ มีสติรู้ลมหายใจ
ผู้มีปัญหาปวดเข่า เลี่ยงการทำท่านี้ หรือทำด้วยความระมัดระวัง

.

ท่าสัญลักษณ์แห่งโยคะ Yoga Mudra โยคะมุทรา

.

ขั้นตอนการฝึก (เบื้องต้น)
1 นั่งในท่าวัชระ
2 กำหมัด นำหมัดวางที่บริเวณขาพับ
3 ค่อยๆเหยียดหลัง ลดตัวลงช้าๆ แล้วลดทรวงอก สุดท้ายลดศรีษะลงจรดพื้น
ประโยชน์
เป็นการกดนวดอวัยวะภายในช่องท้องอย่างเต็มที่
ทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงศรีษะได้เป็นอย่างดี ทำให้สมองแจ่มใส
เสริมสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือดใหญ่ที่โคนขา
คำแนะนำ
ให้ก้นติดส้นเท้าตลอดเวลา
ในช่วงแรก หากศรีษะยังไม่จรดพื้น ให้หาหมอนหรือเก้าอี้ตัวเล็กๆมารองรับไว้ที่บริเวณศรีษะ
เราอาจจะตั้งศอกไว้ หรือ พักศอกลงก็ได้ แล้วแต่ถนัด
หากรู้สึกกดนวดช่องท้องมากเกิน อย่าวางหมัดไว้กลางช่องท้อง ให้ขยับหมัดไปด้านข้าง

.

ท่าบิดสันหลัง Vakrasana วัคระอาสนะ

.

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก
1 เข้าสู่ท่านั่งหลังตรง
2 ชันเข่าซ้าย ส้นเท้าซ้ายเสมอเข่า มือซ้ายยันหลัง ตั้งหลังตรง
3 ข้อศอกขวาคร่อมเข่าซ้าย ออกแรงศอกขวา ดันต้นขาซ้ายเข้าแนบเอว แขม่วท้อง แล้วบิดตัวไปทางซ้ายตามลำดับจากเอว ไหล่ และศรีษะ
4 ทำสลับข้าง
ประโยชน์
เป็นการสร้างความยืดหยุ่นให้กระดูกสันหลัง
กระตุ้นระบบประสาทตลอดแนวกระดูกสันหลัง
บริหารอวัยวะภายในช่องท้อง
บริหารคอ บริหารสายตา
คำแนะนำ
ตั้งแผ่นหลังให้ตรง ตลอดเวลาที่บิด
รักษาระดับไหล่ทั้งสองข้าง ให้ขนานพื้น
รักษาข้อศอกของแขนข้างที่ใช้ยันพื้นให้ตรง ไม่งอศอก

ท่ากงล้อ Chakrasana จักระอาสนะ

.

Hosted by Tinypic.com

ขั้นตอนการฝึก (เบื้องต้น)
1 ยืนหลังตรง ไม่เกร็ง ส้นเท้าชิด มีสติรับรู้อยู่ที่บริเวณฝ่าเท้า
2 ยกแขนซ้ายขึ้นทางด้านข้างลำตัว จนแขนขนานพื้น
3 พลิกฝ่ามือหงาย
4 ยกแขนต่อ จนให้ต้นแขนแนบชิดหู เหยียดข้างลำตัวทั้งหมด
5 ค่อยๆโน้มตัวไปทางขวา เหยียดกล้ามเนื้อข้างลำตัวทุกส่วน
6 จากนั้น ทำสลับข้าง
ประโยชน์
บริหารแนวกระดูกสันหลังไปทางด้านข้าง
เหยียดกล้ามเนื้อข้างลำตัว
กดนวดอวัยวะภายในช่องท้อง
เพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณแขน
คำแนะนำ
ตลอดเวลา ให้ส้นเท้าชิดกันไว้
ท้ายสุด ให้ก้มคอ ไม่ฝืนกระดูกต้นคอ
สายตามองตรงไปข้างหน้า จนช่วงสุดท้ายที่พักกระดูกต้นคอ ค่อยก้มมองพื้น
ไม่ดันสะโพกออกข้างตัว เพียงงอเอวเท่านั้น

  

ข้อแตกต่างระหว่าง โยคะอาสนะ กับ การออกกำลังกาย

แปลจากคำบรรยายของ S.K. Ganguly  สถาบันโยคะ ไกวัลยธรรม อินเดีย

อาสนะ

การออกกำลังกาย

1 อาสนะหมายถึง การนั่ง ที่นั่ง ท่านั่ง เป็นท่าของร่างกายที่นิ่งอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
 2
เป็นสภาวะนิ่งสงบ อยู่ในท่าแบบเป็นฝ่ายรับ (passive) ความตึงของกล้ามเนื้อค่อยๆลดลงไปสู่ความผ่อนคลาย ให้ความสำคัญที่จิต
3
เป็นการเหยียด มากกว่าการเกร็งตึงกล้ามเนื้อ เน้นที่การประสานของระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ
 4
การทำอาสนะ เป็นการเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในตนเอง ใช้ความรู้สึกภายในเป็นตัวนำ
5
พัฒนาอวัยวะภายในทรวงอกและอวัยวะภายในช่องท้อง
6
พิจารณามนุษย์อย่างเป็นองค์รวม ช่วยรักษาสมดุลของทั้งร่างกาย
7
กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ที่รับผิดชอบด้านการผ่อนคลาย Parasympathetic Nervous System
8
ทำอาสนะโดยใช้แรงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำเพียงเท่าที่สามารถทำได้ ไม่มีการฝืนแต่อย่างใด
9
ลดการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้งห้า ต่อสิ่งเร้าภายนอก
10 เป็นกิจกรรมที่ใช้ "ความรู้สึก" เป็นตัวนำ
1 การออกกำลังกายหมายถึง การเคลื่อนไหว การใช้ความพยายาม
 2
เป็นการทำซ้ำๆ เพิ่มความตึงของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเกร็งอยู่ตลอดเวลา เป็นแบบ (active) ให้ความสำคัญที่กล้ามเนื้อ
3
เป็นการเกร็งกล้ามเนื้อ พัฒนาระบบกล้ามเนื้อโดยตรง
4
การออกกำลังกายเป็นการรับรู้จากภายนอก ใช้การรับรู้ต่อสภาวะภายนอกเป็นตัวนำ
5
พัฒนากล้ามเนื้อกลุ่มหลักๆของร่างกาย โดยเฉพาะที่บริเวณแขน ขา
6
เน้นความเชี่ยวชาญ ความชำนาญที่ส่วนหนึ่งส่วนเดียว
7
กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ที่รับผิดชอบด้านการตื่นตัว Sympathetic Nervous System
8
การออกกำลังกายเป็นการใช้แรงให้มากที่สุด ใช้แรงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
9 เปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า ให้รับรู้กับสิ่งเร้าภายนอกตลอดเวลา
10 เป็นกิจกรรมที่ใช้ "การกระทำ" เป็นตัวนำ

การ ผ่อนคลายการผ่อนคลายอย่างลึก Deep Relaxation Techniqueเป็นการใช้สติไปกำหนดรู้ที่อวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย พร้อมๆไปกับการกำหนดความรู้สึกผ่อนคลายที่อวัยวะนั้นๆ ไล่ไปทีละส่วน จนครบตลอดทั่วทั้งร่างกาย
ขั้นที่ 1    อวัยวะส่วนล่าง จากปลายเท้า ถึง ช่องท้อง

นิ้วเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ข้อเท้า น่อง เข่า ต้นขาสะโพก ก้น เอว

ขั้นที่ 2   อวัยวะส่วนกลาง จากทรวงอก จรด ปลายนิ้วมือ

ทรวงอก กระดูกสันหลัง หลังส่วนล่าง ส่วนกลาง ส่วนบน ไหล่ ต้นแขน  ข้อศอก ปลายแขน ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ

ขั้นที่ 3  อวัยวะตลอดทั่วศรีษะ

คาง ริมฝีปาก ระหว่างริมฝีปากฟัน เหงือก ลิ้น หลอดลม เพดานปาก จมูก แก้ม ตา คิ้ว หว่างคิ้ว หน้าผาก ขมับ หู หนังศีรษะ กระหม่อม

ขั้นที่ 4  ทำความรู้สึกผ่อนคลายตลอดทั่วทั้งร่างกายจากศีรษะ จรด ปลายเท้า, จากปลายเท้า จรด ศีรษะ รับ รู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดทั่วทั้งร่างกาย (ความรู้ตัวทั่วพร้อม) ตลอดจนความรู้สึกแจ่มใส สดชื่น กระปรี้กระเปร่า ที่เกิดขึ้นหลังฝึกโยคะ

เทคนิคการหายใจด้วยหน้าท้อง Breath Awareness Technique

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหายใจ และเพื่อเป็นการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึก
ขั้นที่ 1 เฝ้าสังเกต
พัก ในท่าศพ ชันเข่าทั้ง 2 ขึ้น นำมือทั้ง 2 วางบนหน้าท้อง หายใจตามปกติ มีสติกำหนดรู้กับลมหายใจ จากนั้นเพิ่มการมีสติกำหนดรู้กับการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง
สังเกตลมหายใจของเราที่ผ่อนช้าลง สงบลง ลมหายใจจากหยาบมาเป็นลมหายใจที่ละเอียด
ขั้นที่ 2 การหายใจสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง สูดลมหายใจเข้า ให้หน้าท้องพองขึ้น ผ่อนลมหายใจออก ให้หน้าท้องแฟบลง มีสติกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจ ที่สัมพันธ์กับการเคลื่อนขึ้น-ลงของหน้าท้อง
พยายามดึงช่วงเวลาของลมหายใจออก ให้นานกว่าช่วงเวลาของลมหายใจเข้า
ขั้นที่ 3 มีสติกำหนดรู้กับความสงบ มีสติกำหนดรู้ขณะที่ผ่อนลมหายใจออกจนสุด เฝ้าสังเกตห้วงขณะที่เราหยุดหายใจ ซึ่งเป็นช่วงที่เราหายใจออกหมดแล้ว แต่การหายใจเข้ายังไม่เกิดขึ้น โดยไม่ได้ตั้งใจกลั้นลมหายใจ กำหนดรู้อยู่กับห้วงขณะที่ร่างกายไม่หายใจที่ว่านี้ อันเป็นห้วงขณะที่กายนิ่ง ลมหายใจหยุด และ ... จิตสงบ คอยมีสติระลึกถึงห้วงเวลาที่จิตสงบ ตลอดทั้งวัน

ตัวอย่างการฝึกทำโยคะด้วยตนเอง ใช้เวลา 35 นาที

การเตรียมความพร้อมของร่างกาย

 3 นาที

ท่างู

 2 นาที

ท่าตั๊กแตน

 2 นาที

ท่าคันไถ

 2 นาที

ท่าเหยียดหลัง

 3 นาที

ท่าคีม

 2 นาที

ท่านั่งเพชร

 1 นาที

ท่าโยคะมุทรา

 2 นาที

ท่าบิดสันหลัง

 3 นาที

ท่ากงล้อ

 3 นาที

การผ่อนคลาย

 8 นาที

การหายใจ

 4 นาที

อัษฎางค์โยคะ หรือ มรรค 8 ของโยคะ

ผู้ สนใจโยคะเบื้องต้น มักเข้าใจว่า การฝึกทำอาสนะ คือ ทั้งหมดของการฝึกทำโยคะ! ในความเป็นจริง โยคะประกอบด้วยขั้นตอน 8 ประการ ที่เอื้อซึ่งกันและกัน ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากโยคะ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และฝึกองค์ประกอบทั้ง 8 ประการนี้ ควบคู่กันไป เราสามารถเปรียบอัษฎางค์โยคะกับกงล้อ 8 ซี่ของวงล้อ ล้อที่ประกอบด้วยกงที่สมบูรณ์เท่านั้น ที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมายได้
1 ยมะ คือ หลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น (หมายรวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย) ได้อย่างสันติ มีอยู่ 5
ประการ
อหิงสา การไม่ทำร้ายชีวิต การไม่เบียดเบียน การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง
สัตย์ การรักษาสัตย์ ไม่โกหก
อัสเตยะ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ละโมบ ไม่ตกเป็นเหยื่อของความโลภ
พรหมจรรย์ การประพฤติตนไปบนหนทางแห่งพรหม (พรหม จรรยา
)
อปริครหะ คือการไม่ถือครองวัตถุเกินความจำเป็น
2 นิยมะ คือ วินัยต่อตนเอง มีอยู่ 5
ประการ เช่นกัน
เศาจะ หมั่นรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งกาย – ใจ
สันโดษ ฝึกพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
ตบะ มีความอดทน อดกลั้น
สวารยายะ หมั่นศึกษา เรียนรู้ ทั้งเรียนรู้เกี่ยวกับโยคะ และ เรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง
อศวรปณิธาน ฝึกเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน มีความศรัทธาในโยคะ ที่เรากำลังฝึกปฏิบัติ
3 อาสนะ
คือ การฝึกฝนร่างกายให้มีคามสมดุล
4 ปราณยามะ
คือ การฝึกกำหนด ควบคุม ลมหายใจ เพื่อการควบคุมอารมณ์ของตนให้สงบ
5 ปรัทยาหาระ คือ การฝึกสำรวมอินทรีย์ ฝึกควบคุมประสาทสัมผัสทั้ง 5
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ จิต
6 ธารณะ คือ การฝึกสติให้กำหนดรู้อยู่กับสิ่งใดสิ่งเดียว อยู่กับเรื่องใดเรื่องเดียว
Concentration
7 ฌาน คือ การเพ่งจ้องอยู่กับสิ่งที่กำหนด จนดื่มด่ำ หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น
Meditation
8 สมาธิ คือ การฝึกจิต การยกระดับจิตให้สูงขึ้น เป็นสภาวะที่พ้นไปจากระดับจิตทั่วไป
Trans Consciousness

หนังสืออ่านเพิ่มเติม

ผู้สนใจโยคะจริงจัง ควรจะศึกษา เรื่องที่เกี่ยวเนื่องสำคัญกับโยคะ อย่างน้อย 2 หัวข้อได้แก่
สรีรวิทยา กายวิภาค
ปรัชญาอินเดีย

http://www.horasaadrevision.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=40194&Ntype=2

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/
http://gotoknow.org/blog/krunoppol/
http://baankruaeed.wordpress.com/
http://ngaochan.hi5.com/
http://www.oknation.net/blog/subaltern
http://gotoknow.org/migrantworkers