"http://comment-thai.com/pimp_glitter_15748.html"

“ เมื่อไหร่ …หนูจะได้กลับบ้าน ”

ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

Teachings of Buddha Product by manoon Chongwattananukul

Bookmark and Share
Bookmark and Share

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ธรรมะมาตา - จีวันBAND

บันทึกการแสดงสด : มหรสพทางวิญญาณ
กลับมาเถิดศีลธรรม

LIVE CONCERT 20TH ANNIVERSARY
จีวันBAND

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2551
ณ ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง

ปลูกดอกไม้ โดย สองวัย

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ต้นกล้วย

วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7189 ข่าวสดรายวัน


ต้นกล้วย


คอลัมน์ เวทีเยาวชน

โดย พี่ขลุ่ย




หนูชอบต้นกล้วย ต้นกล้วยมีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง และแก้ท้องผูกได้

ด.ญ.สุมิตรา วาจุกา

โรงเรียนเทศบาลเมืองสวรรคโลก จ.สุโขทัย


หน้า 23

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdOREExTURnMU13PT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TlE9PQ==

--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เชิญชวนปฏิบัติืธรรม หลักสูตร พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติืสุข วันที่ 8-14 ส.ค.



จาก: Supatra Taiborwornpitak <tasupatra@bigc.co.th>
วันที่: 3 สิงหาคม 2553, 12:44
หัวเรื่อง: เชิญชวนปฏิบัติืธรรม หลักสูตร พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติืสุข วันที่ 8-14 ส.ค.
ถึง:



เรียนทุกท่านค่ะ
เชิญชวนปฏิบัติธรรม ระหว่างวันที่ 8-14 ส.ค. 2553 รายละเอียดตามเอกสารแนบ ค่ะ


อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ
สุภัทรา    ใต้บวรพิทักษ์

-------------------------------------------
STATEMENT OF CONFIDENTIALITY: The information contained in this email and any attachments is strictly confidential and is for the use of the intended recipient. BigC may record all emails but the views expressed in this email are those of the sender, not BigC. Any use, dissemination, distribution, or reproduction of any part of this email or any attachment is prohibited. If you are not the intended recipient, please notify the sender by return email and delete all copies including attachments.

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถุงช็อปปิ้งมีเชื้อโรค ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ เป็นอันตรายถึงชีวิต




ถุงช็อปปิ้งมีเชื้อโรค ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ เป็นอันตรายถึงชีวิต

Pic_93744

นัก วิจัยทั้งในอังกฤษและอเมริกา ต่างเตือนนักช็อปปิ้งทั้งหลายว่า ถุงใส่สิ่งของที่จับจ่าย อาจทำอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะมันกลายเป็นที่อยู่ ของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเป็นพิษ ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

นักวิจัยในเมืองน้ำชาได้ทำการทดสอบถุงใส่ ของ ที่ลูกค้าหิ้วถืออยู่ 84 ราย พบว่ามีเชื้ออี.โคไล ซึ่งเป็นเชื้อก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ อันเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งเคยเกิดที่สกอตแลนด์ เมื่อ พ.ศ.2539 มีผู้ถึงแก่กรรมถึง 26 ราย

ขณะ เดียวกัน นักวิจัยมหาวิทยาลัยอริโซนาของสหรัฐฯ ได้ตรวจพบว่าถุงใส่ของหลายใบแปดเปื้อนด้วยเชื่้อซาลโมเนลลา อันเป็นเชื้อจุลินทรีย์ทำให้ท้องร่วง เชื้อที่พบมีปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดภัยร้ายแรงได้อย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งถึงชีวิต โดยเฉพาะพวกเด็กยิ่งจะเสี่ยงภัยมากที่สุด

ถุงใส่ข้าวของส่วนใหญ่ทำ ด้วยปอกระเจาหรือโพลี่โฟรไปลีนถัก แม้จะเป็นประโยชน์ ช่วยลดการทิ้งถุงพลาสติกในช่วงเวลา 3 ปีมานี้ได้ถึงร้อยละ 40 แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากขาดการทำความสะอาดเป็นประจำ โดยได้พบว่าเจ้าของมันถึงร้อยละ 97 ที่ใช้ถุงซึ่งเป็นมิตรกับเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ไม่เคยซักล้างหรือพ่นอบเชื้อเลย.






วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ผลวิจัยเผยเด็กกทม.90% เสี่ยงรับความรุนแรงจากมือถือ

 

Pic_94710

ผลวิจัย พบ เด็ก กทม.กว่า 90% เสี่ยงเจอความรุนแรงจากโทรศัพท์มือถือ เพราะส่วนใหญ่จะไว้ติดต่อกับคนแปลกหน้า ส่วนเด็กต่างจังหวัดยังขาดพื้นที่แสดงศักยภาพ วอนสังคมในชุมชนช่วยดูแลเพราะจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ ดร.เพ็ญจันทร์ ประดับมุข-เชอร์เรอร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงโครงการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการทางสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาความ รุนแรงในเด็กและเยาวชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ว่า ทีมวิจัยได้ศึกษาหารูปแบบการจัดการทางสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในเด็กและเยาวชน โดยศึกษาในพื้นที่ 10 ชุมชนจาก 8 จังหวัดประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา นครปฐม บุรีรัมย์ นครราชสีมา เชียงใหม่ กระบี่และสุราษฎร์ธานี ซึ่งสถานการณ์โดยรวมพบเด็กมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงในทุกพื้นที่ จำนวนเกินครึ่งของเยาวชนพบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่อยู่รอบตัว และ 1 ใน 4 เป็นผู้กระทำความรุนแรงเอง รูปแบบมีทั้งการรีดไถ การข่มขู่เพื่อนด้วยวาจาหรืออาวุธ การชกต่อย ตบตี การยกพวกตีกันระหว่างกลุ่ม ระหว่างหมู่บ้าน หรือระหว่างชั้นเรียน การทำร้ายร่างกายแฟน หรือข่มขืนแฟน

โดยเฉพาะใน กทม.พบเด็กกว่าร้อยละ 90 มีมือถือในการติดต่อสื่อสาร รวมถึงการติดต่อพูดคุยผ่านอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่เคยพบปะหน้าตา เป็นโลกการสื่อสารผ่านทางอากาศที่นำไปสู่ความรุนแรงหลากหลายรูปแบบ รวมถึงความรุนแรงทางเพศ ขณะที่เด็กต่างจังหวัดพบข้อจำกัดของระบบโรงเรียน พื้นที่ที่ทำให้เด็กไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่

ดร.เพ็ญจันทร์ กล่าวต่อว่า การจัดการทางสังคมในชุมชนเพื่อป้องกัน ดูแล และแก้ไขปัญหา เป็นยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะกลไกที่ให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหา และเปิดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงตัวตนและศักยภาพ ส่วนครอบครัวแม้เป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหา แต่ข้อจำกัดคือครอบครัวยังมีความอ่อนแอ และมุ่งเน้นแต่การหารายได้เลี้ยงปากท้อง กลุ่มที่เป็นหลักสำคัญที่แก้ปัญหาได้ดีกว่าคือ ผู้นำชุมชน วัด และโรงเรียน นอกจากนี้จะต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นวาระของแผนพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น สร้างความเข้าใจและตระหนักในปัญหาอย่างลึกซึ้ง การจัดให้มีพื้นที่ทางสังคมในทางบวกสำหรับเด็กและเยาวชน การมีโครงสร้างและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เกาะเกี่ยวกัน การมีกลไกทางสังคม ระบบโรงเรียน ครอบครัวที่เฝ้าระวัง สอดส่องวิถีชีวิตทางสังคมของเด็กและเยาวชนอย่างใกล้ชิด.

http://www.thairath.co.th/content/edu/94710

--
http://www.prachataiboard1.info/board/id/50088
http://hotspotshield.com
http://99it.blogspot.com/p/blog-page_21.html
http://www.redshirtinternational.org
http://norporchorusa.com/html/media/npcusa_radios.html
http://www.unblockanything.com
http://www.youtube.com/watch?v=Dyw-L8JSE2U
http://sanamluang.tv
http://thaitvnews2.blogspot.com
http://112victims.org
http://nonlaw.7forum.net/forum-f1/topic-t1169.htm

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เตือนห้ามคนกิน ว่านจักจั่น มีพิษจากเชื้อรา

เตือนห้ามคนกิน ว่านจักจั่น มีพิษจากเชื้อรา

Pic_92954

นัก วิจัยไบโอเทค ยืนยัน "ว่านจักจั่น"  ไม่ใช่ว่าน แต่เป็นตัวอ่อนจักจั่นที่ตายจากการติดเชื้อรา ย้ำไม่ควรนำมาบริโภคทั้งกินสด หรือต้มเพื่อรักษาโรคตามความเชื่อเด็ดขาด อาจทำให้วิงเวียน อาเจียนท้องร่วงรุนแรงได้...

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. นายสายัณห์ สมฤทธิ์ผล นักวิจัยห้องปฏิบัติการราวิทยา ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงข่าวที่มีชาวบ้านจำนวนมากออกมาขุดหาว่านจักจั่น ในบริเวณป่าช้าวัดบ้านฆ้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่ช่วยให้มีโชคลาภว่า ว่านจักจั่นที่ชาวบ้านพยายามขุดนั้น เป็นจักจั่นที่ตายจากการติดเชื้อรา คาดว่าเป็นตัวอ่อนในช่วงที่กำลังจะขึ้นมาลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยบนพื้นดิน

นัก วิจัยไบโอเทค กล่าวว่า ในระยะลอกคราบ ร่างกายจักจั่นจะอ่อนแอ เมื่อเจอกับฝนตกและอากาศที่ชื้น จึงมีโอกาสติดเชื้อราจากแมลงที่มีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติได้ง่าย กลายเป็นโรคและตายในที่สุด หลังจากที่จักจั่นระยะตัวอ่อนเสียชีวิต เชื้อราจะแทงเส้นใยเข้าไปเจริญในตัวจักจั่นเพื่อดูดน้ำเลี้ยงเป็นอาหาร และเจริญเติบโตเป็นโครงสร้างสืบพันธุ์ที่มีลักษณะคล้ายเขาบริเวณหัว มีหน้าที่ในการสร้างสปอร์เพื่อแพร่พันธุ์เชื้อรา จึงทำให้ดูเหมือนว่าจักจั่นมีเขา มีแขน มีขา โดยเราเรียกลักษณะที่เกิดขึ้นนี้ว่า ราแมลง

ซึ่งจากการเก็บ ตัวอย่างจักจั่นที่มีการขุดค้นพบในช่วงเดือน มิ.ย.ปี 2552 มาตรวจสอบ ในเบื้องต้นพบว่า เป็นราที่อยู่ในสกุล คอร์ไดเซพ (Cordyceps sp.) ส่วนจะเป็นชนิดใดนั้น ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบทางพันธุกรรม การนำว่านจักจั่น หรือราแมลงมาเก็บไว้กับตัว หากดูแลรักษาไว้ไม่ดีก็อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากราบนตัวจักจั่นที่ขุดขึ้นมาอาจยังมีชีวิตอยู่และสร้างสปอร์ได้ และแม้ว่าจะนำมาทำความสะอาด หรือใส่กรอบเหมือนกรอบพระ ก็อาจจะยังมีราหลงเหลืออยู่ เพราะว่าราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก อีกทั้งในช่วงนี้เป็นฤดูฝน อากาศมีความชื้นสูง หากเก็บรักษาไม่ดี จะทำให้มีเชื้อราชนิดอื่นๆ มาเจริญเติบโตซ้ำได้อีกหากเป็นเชื้อราที่ก่อโรคในคนแล้วก็จะยิ่งเป็น อันตรายอย่างมาก

นักวิจัยไบโอเทค กล่าวด้วยว่า ข้อควรระวังที่สำคัญ คือ ห้ามนำมารับประทานโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะกินสด หรือนำมาต้มน้ำดื่ม ตามความเชื่อที่ว่าช่วยรักษาโรคได้ เพราะแม้จะยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่แน่ชัดว่ามีพิษหรือไม่ แต่เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2552 ได้มีรายงานพบว่า มีชาวบ้าน จ.ร้อยเอ็ดนำว่านจักจั่นมาต้มน้ำรับประทาน ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะ อาเจียน และท้องร่วงอย่างรุนแรง จนต้องนำส่งโรงพยาบาล อย่างไรก็ดี ราแมลงไม่ได้พบแค่เฉพาะจักจั่นเท่านั้น แต่ยังสามารถพบได้ในแมลงทั่วไป เช่น หนอน ด้วง แมลงวัน มวน เพลี้ย ผีเสื้อ ปลวก แมงปอ และแมงมุม เป็นต้น ซึ่งชนิดของราที่พบก็จะแตกต่างกันไป จึงถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์หรือสิ่งแปลกประหลาด จึงอยากเตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณ อย่าตกเป็นเหยื่อจากความเชื่อในครั้งนี้.

http://www.thairath.co.th/content/edu/92954


ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

"มะเขือยาว" อร่อยมีสรรพคุณ

"มะเขือยาว" อร่อยมีสรรพคุณ

Pic_93106

ปัจจุบัน พืชผักกินได้เกือบทุกชนิดมีราคาแพงมากจนบางครั้งหยิบแทบไม่ติด สาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศในปีนี้แล้งจัดและอุณหภูมิสูง ทำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชผักกินได้มีผลิตผลน้อยลง ซึ่งพืชผักบางชนิดแม้จะมีวางขายแต่จะไม่มีความสมบูรณ์ รูปทรงแคระแกร็นหรือหงิกงอ บางอย่างถึงกับขาดตลาดไม่มีวางขายเนื่องจากแห้งตายคาสวน จึงทำให้พืชผักกินได้มีราคาแพงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม มีหลายคนแก้ไขปัญหาด้วยการปลูกพืชผักกินได้ชนิดปลูกง่ายโตไวลงกระถางตั้งใน บริเวณบ้านไว้เก็บกินเอง เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กะเพรา โหระพา มะเขือเทศ สามารถแก้ไขได้ระดับหนึ่ง ซึ่ง "มะเขือยาว" เป็นพืชผักกินได้ ที่นอกจากปลูกเก็บผลรับประทานในครัวเรือนได้แล้ว บางส่วนของ "มะเขือยาว" ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย จึงแนะนำให้ปลูกเสริมเพื่อเก็บผลกินในบ้านอีกชนิดหนึ่ง

มะเขือยาว หรือ SO-LANUM MELONGENA LINN. อยู่ในวงศ์  SOLA-NACEAE เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 1 เมตร ลำต้นเดี่ยว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น กิ่งอ่อนมักมีขนละเอียดปกคลุมทั่วและมีหนามเล็กสั้นประปราย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปค่อนข้างกลม ปลายแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบหยักหรือเป็นคลื่น ท้องใบมีขนนุ่ม ผิวใบสีเขียวสด

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 3-5 ดอก มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแหลม ดอกเป็นสีม่วง กลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน เกสรตัวเมีย 1 อันอยู่ติดกับกลีบดอก ก้านเกสรและอับเกสรเป็นสีเหลือง "ผล" รูปกลมยาว มี 2 ชนิดพันธุ์คือ พันธุ์ที่ผลเป็นสีเขียว กับ พันธุ์ที่ผลเป็นสีม่วง ผิวผลเรียบเกลี้ยงและเป็นมัน ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงสีเขียวติดอยู่ เวลาติดผลดกและผลยาวห้อยลงจะดูสวยงามทั้งสีเขียวและสีม่วง ติดผลตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปัจจุบัน "มะเขือยาว" มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 15 แผง "คุณปืด" ราคาสอบถามกันเอง

ประโยชน์ทางสมุนไพร ลำต้นและราก แก้บิดเรื้อรัง อุจจาระเป็นเลือด แผลเน่าเปื่อยอักเสบ ใบ แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคหนองใน พอกแผลบวมเป็นหนอง ผลแห้ง ทำเป็นยาเม็ดกินแก้ปวด แก้ตกเลือดในลำไส้ ขับเสมหะ ผลสด ตำพอกแผลอักเสบมีหนอง ขั้วผลแห้ง เผาเป็นเถ้าบดให้ละเอียดกินเป็นยาแก้ตกเลือดในลำไส้ครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/93106
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

งบปฏิรูป 600 ล้าน-คุ้มค่าแค่ไหน


วันที่ 02 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7155 ข่าวสดรายวัน


งบปฏิรูป 600 ล้าน-คุ้มค่าแค่ไหน


คอลัมน์ รายงานพิเศษ



ผล การประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการปฏิรูป ตามแผนปรองดองเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้น 2 ชุด

ชุดหนึ่งคือคณะกรรมการ ยุทธศาสตร์การปฏิรูป มี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน อีกชุดคือคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ที่มี น.พ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน

เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศโดยการปฏิรูป และลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เทงบประมาณให้ถึงปีละ 200 ล้านบาท ดำเนินการ 3 ปี รวม 600 ล้านบาท

ท่าม กลางเสียงวิจารณ์จากบุคคลในแวดวงการเมือง นักวิชาการถึงแนวทางการทำงานที่กว้างเกินไปและการทุ่มงบฯให้มากถึง 600 ล้านบาท รวมถึงความไม่มั่นใจว่าแนวทางปรองดองจะสำเร็จหรือไม่

โคทม อารียา

ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล

คณะ ทำงานของ น.พ.ประ เวศ วะสี และ นายอานันท์ ปันยารชุน ผมมองว่ากรอบการทำงานกว้าง แต่กว้างไปหรือไม่ ไม่รู้ แต่เป็นความตั้งใจของทั้งนายอานันท์ และน.พ.ประเวศ ที่สนใจเรื่องกว้าง

น.พ.ประเวศทำเรื่องปฏิรูป ประเทศมาปีกว่าแล้ว เมื่อได้มาตรงนี้ก็เป็นโอกาสให้ขับเคลื่อนการทำงานให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น

กรอบ การทำงาน 3 ปี ที่ น.พ.ประเวศใช้คำว่า 999 วัน เป้าหมายการทำงาน คิดว่าเป็นรูปธรรมพอสมควร แต่จะทำได้จริงหรือไม่ ผมไม่รู้ เช่น สร้างคน 1 ล้านคน มาเป็นทูตช่วยทำประเทศให้น่าอยู่ มีองค์กรน่าอยู่ 1 หมื่นแห่ง เมืองน่าอยู่ 100 เมือง

เป้าหมายจะทำเป็นรูปธรรมได้หรือไม่ตอนนี้ยัง เร็วไปที่จะบอก แต่หากทำตามเป้าของน.พ.ประเวศ น่าจะใช้เงินเปลืองกว่าคณะกรรมการชุดนายอานันท์ เพราะต้องขับเคลื่อนทั่วประเทศ ส่วนของนายอานันท์ เป็นเชิงยุทธศาสตร์

ดังนั้น คิดว่างบฯ ที่ได้ 600 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของน.พ.ประเวศ น่าจะใช้ประมาณ 500 ล้าน

การ วิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้ผมว่าน่าเป็นห่วง เพราะจะทำให้บรรยากาศไม่เอื้อในการทำงานเท่าไหร่ การจะทำงานต้องอาศัยความร่วมมือ จะทำแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้

กระบวน การของน.พ.ประเวศ อาจบอกว่าไม่มีการกีดกัน แต่ก็มีคนที่มีความรู้สึกว่าถูกกันออกไป ถือเป็นองค์ประกอบที่มีความเสี่ยง แต่หากทำได้สำเร็จ โดยใช้วิธีการนี้ พยายามทำงานระดับท้องถิ่นในหมู่บ้าน 100 แห่ง ใช้สื่อให้คนเกิดความหวังว่าอนาคตจะทำให้ไทยเป็นเมืองน่าอยู่ สร้างจินตนา การเป็นพลัง

ส่วนที่คนมีอารมณ์ยังไม่มาร่วม เมื่อเห็นการทำงานตรงนี้แล้วอาจหันมาเห็นประโยชน์ได้ คิดว่าไม่ใช่ขับเคลื่อนเฉพาะกระบวนการนี้ ต้องขับเคลื่อนให้มีพื้นที่ของฝ่ายที่โกรธเคืองด้วยก็คือเสื้อแดง

การ ทำงานของน.พ. ประเวศ นายอานันท์ ไม่เชิงปรองดอง แต่เป็นเชิงแก้ ปัญหาของประเทศทั่วไป หากปรองดองจะแก้ปัญหาได้ดี หรือกระบวนการแก้ปัญหาประเทศเกิดผลจะสร้างความปรองดองไปในตัวได้

ความจริงผมฝากความหวังกับคณะทำงานของนายคณิต ณ นคร มากหน่อย หวังผลระยะสั้น

ผม เคยเสนอความเห็นกับนายคณิต แล้วว่าภารกิจที่น่าจะเป็น คือ 1.การหาข้อเท็จจริง ฟังข้อมูลรอบด้าน นำมาเรียบเรียงเรื่องเล่าที่น่าเชื่อถือหรือยอมรับได้

อย่างน้อย เราก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น หากใครจะอยากมารับผิดชอบอย่างไรก็เกิดขึ้นตามมา ซึ่งการหาข้อเท็จจริงไม่ใช่การสืบสวนสอบสวน ไม่ใช่กระบวนการทางกฎหมาย

2.การ มีพื้นที่ของผู้ที่ถูกกระทำหรือเหยื่อ มาบอกว่าตัวเองได้รับความเสียหายอะไรบ้าง ผู้กระทำเข้ามารับฟัง มายอมรับ ถ้าเรามีส่วนทำให้เกิดความเสียหาย ทำให้เกิดคนบาดเจ็บล้มตาย ทำลายทรัพย์สิน ออกมารับผิดชอบ หรือให้อภัยกัน เป็นความยุติธรรมเชิงเยียวยาฟื้นฟู

3.ควรพยายามเริ่มให้มีการพูด คุยระหว่างนปช.และรัฐบาล ซึ่งเคยทำมาแล้วเมื่อปลายเดือนเม.ย. แต่พอต้นเดือนพ.ค. ก็ผิดพลาดล้มเหลวอย่างน่าเสียดาย

กระบวนการ ปรองดองต้องทำ 2 ข้อแล้ว ต้องให้คู่กรณีจริงๆ มาพูดคุยกัน อาจมีข้อตกลงเบื้องต้น ถ้าไม่มีการเจรจา ไม่มีข้อตกลงเบื้องต้น การปรองดองก็เดินหน้าไม่ได้

การทำให้เกิดการปรองดองได้จริงต้องอาศัยองค์ประกอบเหล่านี้ร่วมกัน

?สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์

คณะ กรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูป ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน และคณะกรรม การสมัชชาปฏิรูป ที่มี น.พ.ประเวศ วะสี เป็นประธานนั้น

ในขั้นแรกคณะกรรม การได้เสนอแนว ทางในการแก้ปัญหา แต่การเสนอขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะทำได้อย่างไรและจะทำได้ขนาดไหน

ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ฝังรากลึกมานาน ต้องใช้เวลานานในการแก้ไขปัญหา เบื้องต้นคิดว่ามีปัจจัยสำคัญคือ

1.คณะ กรรมการทั้งสองชุดจะต้องเสนอแนวทางปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลจะทำได้หรือไม่ ต้องดูในอนาคตเพราะบางเรื่องเกี่ยวข้องกับงบประมาณ

2.ปัญหา การเมือง การแก้ปัญหาดังกล่าวต้องมีการปฏิรูปรายได้ และอาจกระทบผลประโยชน์ของนักการเมืองได้ เช่น การเก็บภาษีที่ดินทำกิน การเก็บภาษีมรดก หากเป็นเช่นนี้รัฐบาลจะอยู่ในวิสัยที่กล้าทำหรือไม่ หากผลประโยชน์อันนั้นไปกระทบกับนักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล

รวมถึงการ แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ตั้งใจทำกัน แต่พอจะทำก็มีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองเข้ามายุ่ง แทนที่จะเดินหน้าไปถึงเป้าหมาย กลับทำไม่ได้

3.หากมีการปฏิรูปก็ต้อง มีหน่วยงานทางราชการเข้ามาเกี่ยวข้อง คือกระทรวง ทบวง กรมแล้วระบบราชการของไทย ก็ทราบกันอยู่ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคอะไรบ้าง

ส่วน ตัวคิดว่าคณะกรรมการชุดนี้อย่างเก่งก็ทำได้แค่เสนอแนวทางเพียงบางส่วนเท่า นั้น ส่วนงบประมาณที่รัฐบาลให้ปีละ 200 ล้านบาทนั้น เป็นเพียงงบฯ ดำเนินการเพื่อให้ความสนับสนุน

แต่แนวทางขับเคลื่อนปฏิรูประบบต่างๆ ของประเทศที่เป็นรูปธรรมจริงๆ นั้นเป็นไปได้ยาก

คิด ว่าสิ่งที่พอทำได้คือแค่เสนอแนวทางเป็นข้อสรุปว่าทำได้แค่ไหน เพราะดูแล้วมีขอบเขตที่จำกัด ต้องปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมด และหากเปลี่ยนรัฐบาลการปฏิรูปก็อาจจะไม่ต่อเนื่อง

?ประสิทธิ์ โพธสุธน

ส.ว.สุพรรณบุรี

การ ที่รัฐบาลอนุมัติให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปของ นายอานันท์ ปันยารชุน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปของ น.พ.ประเวศ วะสี ภายใต้กรอบการทำงาน 3 ปี ในวงเงินถึง 600 ล้านบาท เพื่อใช้สร้างความปรองดองของคนในชาตินั้น

ในความเห็นขอบอกตรงๆ ว่าไม่เกิดประโยชน์ เป็นเพียงงบฯ โฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้เป็นข่าว สร้างภาพก็เท่านั้น

การ ที่รัฐบาลบอกปรองดองเป็นเพียงภาพที่พูดเพื่อให้สวยหรู สวนทางกับพฤติกรรมอย่างสุดขั้ว ปากบอกปรองดองแต่ขณะนี้กลับกดหัวไล่ล่าคนเสื้อแดง

เมื่อเป็นเช่นนี้ยังมองไม่เห็นว่าจะเกิดความปรองดองได้อย่างไร

ยืน ยันว่าการที่จะปรองดองได้ต้องเกิดจากความจริงใจ เพราะขณะนี้ก็ปรากฏชัดว่าความไม่เท่าเทียมกันยังคงอยู่ และอารมณ์ความโกรธแค้นของคนที่รอวันปะทุ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก

ทางที่ดีก่อนที่รัฐบาลจะทำอะไรควรกลับมา ย้อนดูตัวว่ามีความจริงใจต่อความปรองดองแค่ไหน ไม่ใช่ปากบอกอีกอย่าง แต่กลับทำอีกอย่าง อย่างนี้ใครเขาจะเชื่อถือ

ส่วนการตั้งคณะกรรมการ ชุดนี้ขึ้นมาเพื่อยื้อให้ตัวเองอยู่ในอำนาจหรือไม่นั้น ตรงนี้ขอสงวนความเห็น แต่ทุกอย่างมันมีความเป็นไปได้ เพราะปีหน้ารัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระและมีการเลือกตั้งกันใหม่แล้ว

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNVEF5TURjMU13PT0=&sectionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB3TWc9PQ==
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับรองสถานะทางทะเบียนแก่คนไทยผู้ยากไร้ 984 ราย" เริ่มโครงการ 6 ก.ค. นี้

วุฒิสภาเตรียม จัดโครงการ “ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับรองสถานะทางทะเบียนแก่คนไทยผู้ยากไร้ 984 ราย” เริ่มโครงการ 6 ก.ค. นี้     

23 มิ.ย. 53 -           วุฒิสภา เตรียม จัดโครงการ “ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับรองสถานะทางทะเบียนแก่คนไทยผู้ยากไร้ 984 ราย”         ช่วยเหลือประชาชนผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนที่ไม่มีรายได้ และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554  6 ก.ค. นี้

วุฒิสภา เตรียม จัดโครงการ “ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับรองสถานะทางทะเบียนแก่คนไทยผู้ยากไร้ 984 ราย”  เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อย ไม่เพียงพอที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์สารพันธุกรรมหรือการตรวจ DNA ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์การตรวจ DNA ได้ และสามารถนำผลการตรวจไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎร อันจะเป็นการให้ชีวิตคนไทย และช่วยให้คนไทยเหล่านั้นสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อไป 

สำหรับโครงการ “ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อรับรองสถานะทางทะเบียนแก่คนไทย               ผู้ยากไร้ 984 ราย” จัดขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 โดยจะเริ่มดำเนินการวันที่ 6 ก.ค.53  ซึ่งจะเป็นการดำเนินโครงการฯ การต่อเนื่องตลอดปีงบประมาณ 2554  ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายหน่วยงาน  ได้แก่ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย  กระทรวงสาธารณสุข  สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก  และมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา 

 

 

 

 

 

 

 

     เรณู  เขมาปัญญา  /  ข่าว

เกรียงไกร หอมจันทร์เทศ / เรียบเรียง

 


ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

Will a king's death kill Thailand's democracy? The revered Bhumibol has kept political turmoil at bay. But he's 82 and ailing.

Opinion

Will a king's death kill Thailand's democracy?

The revered Bhumibol has kept political turmoil at bay. But he's 82 and ailing.


Writing From Bangkok, Thailand
Sixty years ago this week, King Bhumibol Adulyadej arrived back in Thailand. The 22-year-old had lived abroad most of his life. Named king four years earlier on his brother's death, he was coming home for his coronation. The royal navy was drawn up for review. A jet squadron soared overhead. Half a million people lined the streets in celebration. As one biographer writes, "To astrologers, the heavens proved the great event: three days before Bhumibol arrived, hail fell on Bangkok for the first time since 1933."

The Massachusetts-born, Swiss-educated, jazz-playing Bhumibol might have seemed an unlikely fit for the Thai throne. But over the decades, the king has earned Thais' reverence -- even worship -- for his generosity, humility and devotion to his people.

Paradoxically, however, the world's longest-serving monarch may be a victim of his own success -- or, more accurately, his legacy may be tarnished by the lack of a smooth succession. Now 82, Bhumibol is ailing, and no one knows what will come next, which is raising tensions and rattling investors in Bangkok and beyond, especially as the nation is embroiled in political turmoil.

The king has long been a symbol of unity in Thailand's increasingly fractious political and social arena; a trusted referee whenever conflict threatens to spiral out of control. Now, the question on many people's minds is: Can Thailand's unstable democracy outlive its beloved king?

Since 2006, when the military toppled the popularly elected prime minister, Thaksin Shinawatra, a fierce power struggle has divided Thai politics. Thousands of protesters, the "red shirts" -- mostly rural and poor and whom the ruling elite believe telecommunications billionaire Thaksin is financing and fomenting from abroad -- continue to pressure Prime Minister Abhisit Vejjajiva's government for new elections.

The "yellow shirts" -- monarchists, the military and urban middle class -- rightly criticize the Thaksin administration's abuses in office, but their preferred alternative amounts to continued domination by Bangkok's privileged, in a country where the population's richest fifth is roughly 13 times better off than the poorest.

The Thai Supreme Court's decision in February to confiscate $1.4 billion of Thaksin's assets, stemming from charges of corruption, has prompted fears of violent confrontation between the camps. The red shirt protesters have been demonstrating in the tens of thousands this month.

In December, a frail Bhumibol emerged from the hospital, urging Thais to put "the common interest before their own interest." But some fear that his death, whenever it occurs, will spark chaos in this country of 65 million.

The 1924 Palace Law of Succession establishes primogeniture of male heirs, suggesting Crown Prince Maha Vajiralongkorn will try to fill his father's shoes. Unfortunately, the crown prince lacks his father's discipline and standing; one longtime Bangkok businessman told me that doubts about Vajiralongkorn's fitness for the job were "beyond any return."

Thailand's 1974 constitution declared that in the absence of a prince, parliament could pick a king's daughter to assume the throne. Many Thais feel the king's daughter, Princess Maha Chakri Sirindhorn, would be an excellent candidate. Yet Thailand experts tell me that as long as the crown prince is alive, "the dreams of Sirindhorn succeeding are just that." They predict the crown will pass to Vajiralongkorn and that the monarchy will "be weakened and changed forever."

This will mean the transformation of politics as well. For although it is one thing to clamp down on democracy while claiming to defend a revered king -- as the aristocratic yellow shirts did in 2008 -- it will be much harder for monarchists to maintain their grip on authority if the monarch in question lacks mass devotion.

What about the military, responsible for 18 coups since 1935? One prominent Thai entrepreneur told me his worst-case scenario is the emergence of a young, charismatic leader at the helm of a rising red shirt movement, calling for an end to "the double standards in Thai society." This might provoke the army to feel it has the mandate to use force to preserve the status quo. Thailand-based columnist Chang Noi suspects the military may block another general election, speculating that it would likely want to overthrow the winners anyway.

The most hopeful scenario is one in which the king's passing sparks a democratic maturation -- across institutions, civil society and political classes.

The first step, however, must be a national conversation about the future. And that can't happen as long as strict lèse-majesté laws render the topic of succession taboo. Bhumibol Adulyadej's name means "strength of the land, incomparable power." Perhaps the greatest gift he can give his country now is permission to start planning for life without him.

Stanley A. Weiss, who has spent part of the year in Thailand for more than 20 years, is founding chairman of Business Executives for National Security, a nonpartisan organization based in Washington.
http://www.latimes.com/news/opinion/commentary/la-oe-weiss21-2010mar21,0,7559774.story

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

ใช้คอมฯ นานเสี่ยง โรคซีวีเอส เหตุใช้ผิดวิธี ทำลาย! สุขภาพ

ใช้คอมฯ นานเสี่ยง โรคซีวีเอส

เหตุใช้ผิดวิธี ทำลาย! สุขภาพ

ซีวีเอส, คอมฯ, คอมพิวเตอร์, คีย์บอร์ด, คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม



ปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำงานอะไร อาชีพอะไร ส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์แทบทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป้นเครื่องมือที่เอื้ออำนวยความสะดวกได้หลากหลาย จนบางคนแทบจะขาดไม่ได้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า!! บนความสะดวกสบายนี้สามารถ “ทำลาย” สุขภาพคุณโดยไม่รู้ตัว หากใช้มันอย่างผิดวิธีหรือใช้นานจนเกินไป...

ไม่ต้องสงสัย?? ...เพราะ หลายคนอาจกำลังมีอาการ ปวดที่กระดูกข้อมือ กล้ามเนื้อ ตามต้นคอ หัวไหล่ สะบักรวมถึงหลัง หรือมักมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว หากใช้สายตาจ้องหน้าจอนาน ๆ และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัว ซึ่งนั่นแสดงว่าคุณกำลังเป็น “โรคซีวีเอส” หรือ “คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม” โดย บริเวณที่เกิดอาการอาจคลำพบกล้ามเนื้อแข็งตึงและอาจมีจุดกดเจ็บ ทำให้เมื่อเคลื่อนไหวแล้วอาจพบอาการเจ็บปวดมากขึ้น แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ของแต่ละคน ด้วย

ซึ่งสาเหตุของโรคนี้มาจาก การติดตั้ง จัดวาง คีย์บอร์ด จอมอนิเตอร์ เม้าส์ และเก้าอี้ ตลอดจนการปรับระดับแสงที่ไม่เหมาะสม ส่ง ผลให้เราเกิดอาการอย่างที่กล่าวมานี้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปรับสภาพแวดล้อมในโต๊ะทำงานใหม่ให้เหมาะสมกับร่าง กายของเรา ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหรือความเมื่อยล้าจากการทำงานลงได้ สามารถทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มจาก...

คีย์บอร์ด หลายคน คงไม่คิดว่า แค่คีย์บอร์ดจะทำให้เจ็บป่วยอะไรได้มากมาย แต่หากคุณใช้ไม่ถูกวิธีล่ะก็...จะส่งผลให้คุณมีอาการปวดไหล่ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ ระยะยาว อาจจะทำให้คุณเกิดปัญหาปวดข้อมือเรื้อรังได้ บางคนอาจเป็นถึงขั้นนิ้วล๊อก ต้องทำการผ่าตัดกันเลยทีเดียว บางคนอาจจะเห็นว่ามันจะไม่สำคัญ หรืออาจจะไม่รู้สึกเจ็บป่วย แต่ก็ควรเรียนรู้เกี่ยวกับ วิธีการป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า

การวางคีย์บอร์ดที่ ถูกต้องนั้น แขนต้องอยู่ในมุมตั้งฉาก ไม่สูงเกินไป หรือไม่ต่ำจนเกินไป ไหล่ไม่ห่อ ถ้าคุณเป็นคนไหล่กว้างขอแนะนำให้คุณใช้คีย์บอร์ดแบบแยก เพราะมันจะให้คุณทำงานได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ปล่อยให้ข้อมืออยู่เป็นธรรมชาติอย่างอขึ้นหรืองอลง ส่วนลำตัวให้อยู่บริเวณส่วนกลางของคีย์บอร์ดอย่าเอียงไปทางซ้ายหรือขวามาก เกินไป..

จอคอมพิวเตอร์ก็เช่นกันอาจทำให้คุณปวดข้อ ปวดไหล่ หรือเกิดอาการแสบตาได้ ซึ่งการวางจอในลักษณะที่ถูกต้องนั้นควรเริ่มจากตั้งจอให้อยู่ตรงกลาง ด้านบนของจอมอนิเตอร์อยู่ในระดับสายตาของคุณ ปรับหน้าจอให้แหงนขึ้นเล็กน้อย เพราะจะทำให้คุณไม่เมื่อยคอในการเอียงคอดูจอ อย่าให้มีแสงสะท้อนบนหน้าจอ พยายามนั่งห่างจากจอประมาณ 1 ช่วงแขน หากคุณมีจอใหญ่กว่า 20 นิ้ว ก็ควรถอยห่างออกไปอีก ก็จะเป็นการดีและเป็นการถนอมสายตาด้วย และที่สำคัญควรพักเบรกสายตาเป็นพักๆ หากต้องอยู่กับคอมนานๆ

เม้าส์ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณมีอาการเจ็บป่วย เพราะการทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือมีการเกร็งอวัยวะใดซ้ำๆ กัน ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่โพรงกระดูกข้อมือได้ ขณะที่เคลื่อนไหวข้อมือ ขนาดของโพรงกระดูกข้อมือก็มีการเปลี่ยนแปลง สร้างความกดดันให้กับเส้นประสาทตรงกลาง ถ้าคุณทำงานตลอดวัน โดยที่ข้อมืองอและกดทับบนโต๊ะ ก็สามารถทำให้เส้นเอ็น หรือเส้นประสาทที่ข้อมือเกิดอาการปวดได้ ในระยะยาวอาจทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งนำไปสู่การปวด ชา และปวดรุนแรงที่นิ้วมือได้ ซึ่งวิธีที่จะทำให้ลดอัตราการเกิดอาการเหล่านั้นได้ ไม่ต่างจากคีย์บอร์ดมากนัก ที่สำคัญควรหาวัสดุนิ่มๆ มารองเพื่อลดแรงเสียดสีและกดทับเส้นประสาท

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้!!! ยังมี เก้าอี้ ที่คุณใช้นั่งทำงานเป็นกันวันๆ อีก ที่มีส่วนในการทำลายสุขภาพของคุณ ซึ่งเก้าอี้ที่ดีนั้นเวลาคุณนั่งจะรู้สึกสบาย พนักพิงควรราบไปกับหลัง ปรับระดับความสูงได้ ควรนั่งพิงพนักให้เต็ม และเก้าอี้ควรมีขนาดพอดีตัวไม่เล็กเกินไป เบาะก็ควรจะขนานกับพื้น นั่งให้เป็นมุม 90 องศา หัวเข่าตั้งฉากกับพื้น ฝ่าเท้าแนบขนานกับพื้น นั่งให้ตัวตรง และที่สำคัญควรเดินไปทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดอาการเมื่อยล้า

เห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า...โรคภัย...มีอยู่รอบตัวเรา เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว!! คุณคงจะไม่รีรอที่จะจัดการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมบนโต๊ะทำงานของคุณเสียใหม่โดยเร็ว เพื่อจะได้ห่างไกลบ่อนทำลายสุขภาพ...

เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่
Team content www.thaihealth.or.th

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

"ฟันคุด" ควรผ่าออกดีหรือไม่? - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

"ฟันคุด" ควรผ่าออกดีหรือไม่?

Pic_71144

เชื่อ ว่าเกือบทุกคนจะมีประสบการณ์ “ฟันคุด” บางรายก็มีอาการปวดจนต้องไปพบหมอฟันเพื่อให้หมอช่วยผ่าฟันคุดออก แต่บางรายก็ไม่มีอาการปวดเลยแม้แต่น้อย กรณีนี้ควรผ่าออกดีหรือไม่ ในเมื่อไม่ปวดก็ไม่ต้องเอาออก ปล่อยไว้นานวันไปจะเป็นอันตรายหรือไม่

ก่อน จะไปสู่คำตอบของคำถามข้างต้น บางคนยังคงสับสนอยู่ว่าแล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าซี่ไหนคือฟันคุด ทพญ.ประไพพันธ์ ทองพัดภู่ สาขาศัลยกรรมช่องปาก ศูนย์ทันตกรรมเดนทัลลิส โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่าเราสามารถตรวจในช่องปากด้วยตนเองได้ หากพบว่าฟันซี่ใดโผล่ขึ้นมาได้เพียงบางส่วน หรือฟันซี่ใดหายไป ก็ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าน่าจะมีฟันคุด เพื่อให้แน่ใจก็มาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจในช่องปาก และควรจะเอกซเรย์ดู ก็จะช่วยให้เห็นทิศทางของฟันคุดและเห็นอวัยวะข้างเคียงได้

ฟันคุดอาจเป็นฟันคุดตั้งตรง ฟันคุดเอียงๆ หรืออาจฝังอยู่ในแนวนอน ซึ่งการผ่าออก มีความยากง่ายแตกต่างกัน

ทำไมต้องผ่าฟันคุด…

บาง คนอาจสงสัยว่าถ้าฟันคุดไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ จำเป็นต้องผ่าออกหรือไม่? คำตอบคือต้องผ่าออก เพราะการผ่าตัดฟันคุดมีจุดประสงค์หลายประการ คือ

1. เพื่อป้องกันการอักเสบของเหงือกที่ปกคลุมฟัน เพราะจะมีเศษอาหารเข้าไปติดอยู่ใต้เหงือก แล้วไม่สามารถทำความสะอาดได้ เชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่จะทำให้เหงือกอักเสบ ปวด และบวมเป็นหนอง ถ้าทิ้งไว้การอักเสบอาจลุกลามไปที่แก้ม ใต้คาง หรือใต้ลิ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ ซึ่งบางคนเป็นๆ หายๆ นานวันผ่านไปอาจพัฒนากลายเป็นเนื้อร้ายได้





2. เป็นแหล่งหมักหมมของเชื้อโรคภายในช่องปาก ทำให้ปากมีกลิ่นตลอดเวลา และเป็นเหตุให้ฟันซี่ที่อยู่หน้าฟันคุด ซึ่งเป็นฟันที่ใช้สำหรับบดเคี้ยวอาหารเกิดการผุลุกลามจนทำให้เกิดโรคปริ ทันต์ หรือฟันคุดที่ขึ้นมาเอียงๆ อาจจะไปดันฟันที่ขวางอยู่ข้างหน้าทำให้ฟันซี่ที่อยู่ข้างหน้าฟันคุดได้รับ ความเสียหายไปด้วย ทำให้จากการที่ต้องถอนแค่ 1 ซี่ก็อาจจะเป็นมากกว่า 1 ซี่ได้

3. เพื่อลดอาการปวดจากแรงดันของฟัน ฟันคุดที่ขึ้นไม่ได้แต่พยายามดันตัวขึ้นมาจะทำให้เกิดอาการปวดได้ ผู้ที่มีฟันคุดหลายคนลงความเห็นว่ามีอาการปวดศีรษะบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ บางท่านมีอาการปวดตึงที่ฟันกรามอยู่ตลอดเวลาโดยไม่สามารถระบุอย่างแน่ชัดได้ ว่ามาจากฟันซึ่ไหน

4. เพื่อป้องกันการเกิดถุงน้ำหรือเนื้องอก ฟันคุดที่ทิ้งไว้นานไปเนื้อเยื่อที่หุ้มรอบฟันคุด อาจจะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นถุงน้ำ แล้วโตขึ้นโดยไม่แสดงอาการเลย จนในที่สุดเกิดการทำลายฟันซี่ข้างเคียง และกระดูกรอบ ๆ บริเวณนั้น

5. เพื่อป้องกันกระดูกขากรรไกรหัก เนื่องจากการที่มีฟันคุดฝังอยู่ จะทำให้กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นบางกว่าตำแหน่งอื่น เกิดเป็นจุดอ่อน เมื่อได้รับอุบัติเหตุ หรือกระทบกระแทก กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นก็จะหักได้ง่าย

ตัวอย่าง ในภาพนี้เป็นภาพเอกซเรย์ แสดงกระดูกขากรรไกรหักเนื่องจากอุบัติเหตุ จุดที่หักคือจุดที่มีฟันคุดฝังอยู่ บริเวณนี้กระดูกขากรรไกรจะบางกว่าปกติ

6. ผู้ที่มีฟันคุดแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้มักเกิดการซ้อนเกของฟันหน้าล่าง เชื่อว่าเกิดจากแรงดันของฟันคุดมาทางด้านหน้า อาจนำมาซึ่งปัญหาหินน้ำลายเกาะมากที่บริเวณดังกล่าว เพราะทำความสะอาดยาก อันเนื่องมาจากการซ้อนกันของฟันเก

7. วัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น ในการจัดฟัน

เมื่อทราบถึงสารพันปัญหาที่มากับฟันคุดเช่นนี้แล้ว หากพบว่ามีฟันคุดก็อย่ารั้งรอ รีบพบทันตแพทย์เพื่อผ่าตัดออกเสียแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เกิดผลเสียในภายหลัง แล้วการผ่าตัดในช่วงที่อายุยังน้อย 18 - 25 ปี สามารถทำได้ง่าย แผลหายเร็ว และผลแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดก็มีน้อย


ศูนย์ทันตกรรมเดนทัลลิส โรงพยาบาลเวชธานี
www.vejthani.com
http://www.thairath.co.th/content/life/71144

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

"ขิงแก่-น้ำตาลทรายแดง"แก้ปวดเข่า

"ขิงแก่–น้ำตาลทรายแดง"แก้ปวดเข่า

Pic_69559

ขิงแก่–น้ำตาลทรายแดง

คนมีอายุมากๆตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มักมีอาการปวดเข่าประจำตามสภาพของสังขาร หากเป็นมากต้องผ่าตัดเปลี่ยนเข่า ถ้าเป็นน้อยปวดๆหายๆ ไม่ถึงกับผ่าตัด แพทย์จะให้ยาหรือฉีดยาบริเวณที่ปวดทำให้หายปวดเป็นเดือน หมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก ในทางสมุนไพรมีสูตรหลายสูตรช่วยบรรเทาปวดได้ แต่ไม่ใช่ทำให้หายขาด เคยแนะนำไปบ้างแล้ว มีผู้นำไปใช้ได้ผลระดับหนึ่งตามสภาพของสมุนไพร

อีกหนึ่งสูตรนำมาบอกเป็นวิทยาทานคือ เวลาเริ่มมีอาการปวดเข่าให้เอา "ขิงแก่" แบบสดกะจำนวนพอเหมาะ กับน้ำตาลทรายแดง กะจำนวนพอเหมาะเช่นเดียวกัน ตำให้เข้ากันไม่ต้องถึงละเอียดบีบเอาน้ำทิ้งเหลือกากนำไปพอกบริเวณเข่าที่ ปวดใช้ผ้าพันมัดไว้นานตามต้องการแล้วเอาออก ทำตอนไหนก็ได้ บางคนชอบทำก่อนนอนพันผ้าไว้ทั้งคืนรุ่งเช้าจึงแกะออกแต่ต้องระวังอาจทำให้ ที่นอนเปื้อนได้ ทำบ่อยๆจะช่วยไม่ให้เข่าปวดหรือปวดน้อยลง ใครมีปัญหาเกี่ยวกับเข่าปวดทดลองทำดูไม่มีอันตรายอะไร

ขิง หรือ ZINGIBER OFFICINALE ROSCOE อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE มีหัวสดวางขายตามตลาดสดทั่วไป ถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย สรรพคุณทางยาส่วนใหญ่แก้ท้องอืดเฟ้อ ลดอาการเมารถ เรือ แก้อาเจียน และเป็นอาหาร

ครับ หนังสือ "สมุนไพรไม้ประดับหายาก" เล่มที่ 4 ของ "นายเกษตร" พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม ขนาด เอ 4 หนา 256 หน้า มีสูตรยาและไม้ดอกไม้ผลหายากกว่า 150 ชนิด พิมพ์จำนวนจำกัด เหลือไม่มากแล้ว ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย "คุณ นงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์" ตู้ ปณ.48 ปณ. สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 ระบุที่ส่งกลับให้ชัดเจน หนังสือถึงมือไม่ช้า หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพรกระเทียมโทน สูตรแก้หืดหอบ แก้ไอละลายเสมหะที่เกิดจากหืดหอบ แก้ถุงลมโป่งพอง, ขมิ้นชัน สูตรแก้โรคกระเพาะอาหาร, ตรีผลา ลดไขมันในเส้นเลือดลดไตรกลีเซอไรด์, ครีมโลดทะนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อยแก้เกาต์ลดเบาหวานบำรุงไตบำรุงกำลัง, ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจ, คอลลาเจนบริสุทธิ์ ช่วยให้ใบหน้ากระชับ, ว่านชักมดลูก แก้คาวปลามดลูกกระชับดับกลิ่นเหม็น แก้ไส้เลื่อนต่อมลูกหมากอักเสบในบุรุษ, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่าทำให้หายคล้ำ, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวารอุจจาระมีเลือดติด, โทนเนอร์เช็ดหน้า ขจัดสิ่งตกค้างจากรูขุมขนบนใบหน้า โทร.0–2275–2692.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/69559


ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

"บุหงาหยิก" หอมตอนใกล้โรย

"บุหงาหยิก" หอมตอนใกล้โรย

Pic_70027

บุหงาหยิก

ไม้ ต้นนี้ ถือเป็นไม้ไทยหายากชนิดหนึ่งที่พบขึ้นเฉพาะถิ่นตามป่าดิบ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย  โดยจะพบอยู่ในระดับความสูงตั้งแต่ 200-800 เมตรขึ้นไป มีลักษณะเด่นคือรูปทรงของดอก สีสันของดอกสวยงาม และที่สำคัญถือเป็นจุดขายของ "บุหงาหยิก" ได้แก่กลิ่นหอมจากดอก จะมีกลิ่นหอมแรงขณะที่ดอกแก่จัดใกล้จะร่วงโรยจากต้น ทำให้รู้สึกสดชื่นและแปลกประหลาดมาก

บุหงาหยิก หรือ  GONIOTHALAMUS  SAWTEHII C.E.C.FISHER เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ต้นสูงเต็มที่ระหว่าง 4-6 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มโปร่ง ไม่หนาแน่น เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเกือบดำ มีรอยแตกเป็นร่องตื้นๆตามยาวของต้น กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม โคนเป็นรูปลิ่ม เนื้อใบหนา ผิวใบเรียบและมีขนทั้ง 2 ด้าน สีเขียวสด ใบจะดกในส่วนปลายยอด

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามกิ่งแก่ ลักษณะดอกมีกลีบเลี้ยงรูปกรวยตื้น ปลายแผ่กว้างเป็นหยักตื้นๆ สีเขียว กลีบดอกแยกเป็นอิสระกัน มีด้วยกัน 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น กลีบชั้นนอก 3 กลีบ รูปรี ปลายแหลม มีขนาดใหญ่และกว้าง ขอบกลีบทั้งสองข้างมักจะม้วนหรือพับขึ้นเป็นรูปช้อน เนื้อกลีบหนามาก ดอกห้อย ลง กลีบชั้นในมีขนาดเล็กกว่ากลีบชั้นนอกอย่างชัดเจน

กลีบดอก เมื่อแรกจะเป็นสีเขียว พอเริ่มแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดและสีเหลืองทองตามลำดับ ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่มาก ดอกมีกลิ่นหอมแรงตอนที่ดอกใกล้จะร่วงโรยจากต้น ทำให้เวลา "บุหงาหยิก" มีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูงดงามอร่ามตาพร้อมส่งกลิ่นหอมเป็นที่ประทับใจยิ่ง ดอกออกช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี "ผล" รูปกลมรี ติดผลเป็นกลุ่ม 8-10 ผล เปลือกผลเรียบ เมื่อผลแก่จะเป็นสีเขียวอมเหลือง ภายในมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบัน "บุหงาหยิก" มีต้น ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 9 แผง "คุณมนูญ" ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป แม้จะปลูกในพื้นที่ราบก็สามารถเติบโตได้  เหมาะจะปลูกประดับในบริเวณบ้าน สำนักงาน หรือสวนสาธารณะจำนวนหลายๆต้น รดน้ำบำรุงปุ๋ยขี้วัวหรือขี้ควายแห้งกลบฝังดินรอบโคนต้น 2 เดือนครั้ง จะทำให้ "บุหงาหยิก" มีดอกสวยงามและส่งกลิ่นหอมเมื่อถึงฤดูกาลครับ.

"นายเกษตร"

http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/70027

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

แดดกระตุ้นวิตามินดีสู้โรค

วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7049 ข่าวสดรายวัน


แดดกระตุ้นวิตามินดีสู้โรค





เป็น ที่ทราบกันมานานแล้วว่า คนเราควรจะตากแดดบ้างเพราะแดดทำให้ร่างกายแข็งแรงและต่อสู้โรคภัยได้ นักวิจัยมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนของเดนมาร์กอธิบายว่า แสงแดดไม่เพียงทำให้คนเรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ยังฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันโรคด้วย

คาร์สเติน กีสเลอร์ ผู้ทำวิจัย กล่าวว่า ร่างกายจะสังเคราะห์วิตามินดีเมื่อผิวหนังรับแสง ซึ่งวิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่ปกป้องร่างกายจากไข้ หวัด พิษจากอาหารและแม้กระทั่งมะเร็ง โดยวิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้นทำให้กระดูกแข็งแรง

แม้ว่าวิตามินดีจะพบในอาหารอย่างน้ำมันปลาและไข่ แต่ส่วนใหญ่ที่พบในร่างกายมาจากการสังเคราะห์เพราะรับแสงแดด ซึ่งคนทั่วไปได้รับวิตามินดีไม่เพียงพออยู่แล้ว จึงควรหาเวลาไปตากแดดบ้าง โดยเฉพาะแดดยามเช้าและยามเย็น


หน้า 29
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdOREU0TURNMU13PT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB4T0E9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

แม่พาร์ตไทม์-ลูกแข็งแรง

วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7049 ข่าวสดรายวัน


แม่พาร์ตไทม์-ลูกแข็งแรง





ผู้หญิง ยุคใหม่ที่ทำงานนอกบ้านย่อมมีเวลาดูแลลูกได้น้อยกว่าคนที่เป็นแม่บ้านเต็ม ตัว แต่เมื่อภาวะความจำเป็นทางการเงินบีบคั้น การพบกันครึ่งทางด้วยการทำงานพาร์ตไทม์ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า นักวิจัยออสเตรเลียสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยพบว่าลูกที่แม่ทำงานพาร์ตไทม์จะมีสุขภาพดีกว่าลูกที่แม่ทำงานเต็มเวลา เพราะแม่สร้างสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวได้ดีกว่า

แจน นิโคลสัน สถาบันวิจัยเด็กเมอร์ด็อกในนครเมลเบิร์น กล่าวว่า งานวิจัยได้จากการเก็บข้อมูลเด็ก 2,500 คนช่วงอายุ 4-5 ขวบและทำซ้ำตอนอายุ 6-7 ขวบ พบว่า เด็กที่แม่ทำงานพาร์ตไทม์จะมีสุขภาพดีกว่าเด็กที่แม่ทำงานเต็มเวลา โดยเฉพาะในแง่น้ำหนักตัว เพราะเด็กจะดูทีวีน้อยกว่า คือ เฉลี่ยหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ กินขนมจุกจิกน้อยกว่าและได้ออกกำลังกายมากกว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าแม่ที่ทำงานเต็มเวลาจะไม่ค่อยได้กระตุ้นให้ลูกได้เล่นออกกำลังกาย หรือเตรียมกับข้าวฝีมือตัวเองให้ลูกกิน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNekU0TURNMU13PT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB4T0E9PQ==

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

กทม.รับแก้ปัญหาพิษหมาบ้าเหลว หลังพบเหยื่อถูกกัดเพิ่มอีก 2 ศพ

กทม.รับแก้ปัญหาพิษหมาบ้าเหลว

18 มีนาคม 2553 เวลา 14:37 น.

กทม.รับแก้ปัญหาพิษหมาบ้าเหลว หลังพบเหยื่อถูกกัดเพิ่มอีก 2 ศพ 

พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวยอมรับว่า การดูแลแก้ปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าของเจ้าหน้าที่ กทม. ยังไม่มีความเข้มข้นพอ แม้ กทม.จะมีการรณรงค์แจ้งข่าวสารอย่างหนัก แต่ก็ยังมีผู้ที่ไม่เข้าถึงข่าวสาร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าการพัฒนาการด้านบริการสาธารณสุขของ กทม.ยังอยู่ในระดับต่ำ

พญ.มาลินี กล่าวว่า ในวันที่ 22 มี.ค.นี้ จะเสนอแผนรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักกับโรคพิษสุนัขบ้าให้คณะผู้ บริหารพิจารณาอีกครั้ง เบื้องต้นจะทำให้เป็นวาระใหญ่และชัดเจนเหมือนเมื่อครั้งที่มีการประชา สัมพันธ์โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยในวันที่ 2 เม.ย. กทม.เตรียมทำโครงการฉีดวัคซีนและทำหมันให้กับสัตว์เลี้ยงและสัตว์จรจัดใน พื้นที่เขตสายไหม ตามโครงการ 7 วัน 1,000 ตัว

พญ.มาลินี กล่าวว่า จะเรียกประชุมผู้อำนวยการเขตทั้ง 50 เขต เพื่อลงพื้นที่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้ารวมถึงการ ป้องกันตัวเองให้กับประชาชน หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่า ในพื้นที่ กทม.มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าเพิ่มอีก 2 ราย โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 9 รายแล้ว

รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่คน กทม.ต้องมาเสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าอีก ทั้งๆ ที่ช่วงที่เขาถูกกัดนั้น กทม.ได้รณรงค์ในพื้นที่อย่างหนัก เช่น จับสุนัขจรจัด ฉีดยา และทำหมันให้กับสัตว์เลี้ยงที่เขตจอมทอง ซึ่งดำเนินการไปได้มากถึง 5 หมื่นตัว และจากการสอบถามบุคคลใกล้ชิด ทราบว่าผู้ตายไม่ได้ติดตามข่าวสาร 

ด้าน สพญ.จันทรา สิงห์ชัย ผู้อำนวยการกองสัตวแพทย์สาธารณสุข ฝ่ายควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า สำนักอนามัย กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้นำสุนัข 8 ตัว และแมว 6 ตัว ไปกักตัวเพื่อรอสังเกตอาการที่ศูนย์ควบคุมสุนัขจรจัดเขตประเวศ คาดว่าต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือน จึงจะรู้ว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่  ส่วนการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของกทม. ที่ร่วมกับกรมปศุสัตว์ และศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 68 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 2-10 มี.ค. มีผู้นำสุนัขและแมวมาฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้วทั้งสิ้น 4.6 หมื่นราย หรือเฉลี่ยวันละ 5,000 ราย

ทั้งนี้ สธ.รายงานว่า พบผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า 2 ราย เมื่อวันที่ 14-15 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยรายแรกเป็นชายอายุ 32 ปี เข้าไปช่วยแมวที่ถูกสุนัขรุมกัดที่ศาลาน้ำร้อน   เขตบางกอกน้อย และถูกแมวกัดที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ ส่วนอีกรายเป็นชายอายุ 67 ปี เข้าไปช่วยลูกสุนัขที่ติดอยู่ที่ล้อรถและถูกกัด จึงเสียชีวิตทั้ง 2 ราย

http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/17284/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7


--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm
http://www.visalo.org/

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

หอการค้ามะกันชี้การเมือง "เรื่องใหญ่" กระทบขีดแข่งขันไทย-เร่งรัฐแก้ปัญหามาบตาพุด

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4191  ประชาชาติธุรกิจ


หอการค้ามะกันชี้การเมือง "เรื่องใหญ่" กระทบขีดแข่งขันไทย-เร่งรัฐแก้ปัญหามาบตาพุด





สหรัฐ อเมริกาคือพันธมิตรสำคัญของไทยในหลายแง่มุม ซึ่งรวมทั้งด้านการค้าและการลงทุนที่นักลงทุนอเมริกันติดอันดับต้น ๆ ของนักลงทุนรายใหญ่ของเมืองไทยในโอกาสที่หอการค้าอเมริกันในประเทศจัดงาน "ความร่วมมือระหว่างสหรัฐ-ไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย" นายโจเซฟ จาจา ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยคนใหม่ ได้เปิดโอกาสให้คณะสื่อมวลชนสัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับประเด็น ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ไทยในยุคปัจจุบัน

การเมืองคือประเด็นที่กังวลมากที่สุด

นาย จาจา ชี้ว่า "เสถียรภาพทางการเมือง" คือประเด็นใหญ่ที่สุดที่นักลงทุนอเมริกันรู้สึกกังวลใจในช่วงหลายปีที่ผ่าน มา โดยปัญหาทางการเมืองส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก ทั้งนี้ทุกฝ่ายตลอดจนบรรดานักลงทุนต่างต้องการเห็นไทยกลับไปมีเสถียรภาพทาง การเมืองเหมือนในอดีต

และทราบกันดีว่าประเทศที่มีเสถียรภาพทางการ เมืองมีหลักนิติธรรม (Rule of Law) หรือการปกครองโดยใช้กลไกของกฎหมายเป็นสิ่งสูงสุดเพื่อก่อให้เกิดความเป็น ธรรมแก่ทุกฝ่าย ล้วนมีการเติบโตและความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการมีเสถียรภาพทางการเมืองของไทยในอนาคตจะหมายถึงความรุ่งเรืองทาง เศรษฐกิจของประเทศเช่นกัน

ส่วนในประเด็นที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.การ รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้น นายจาจาแสดงความคิดเห็นว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคง โดยทั่วไป เมื่อปีที่ผ่านมาสิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างสงบ ทั้งส่วนของกลุ่มผู้ชุมนุมและการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล

"ผม ยังมองในแง่ดี และมั่นใจว่าตราบใดที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นอย่างสันติ โดยไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น และตราบใดที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ผู้ชุมนุมดำเนินการเช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เกิดความรุนแรง ผมคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรจะปฏิบัติ คือ สร้างความมั่นใจว่าจะรักษากฎหมายและบังคับใช้กฎหมาย และต้องไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการใช้ความรุนแรงเพื่อ แก้ปัญหา"

ทุกประเทศต่างมีปัญหาผู้ชุมนุมทั้งสิ้น แต่ความแตกต่างอยู่ที่การรับมือต่อการชุมนุมบนท้องถนน เราเรียกร้องทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้ดำเนินการสิ่งต่าง ๆ โดยสันติวิธี เพื่อที่อย่างน้อยจะทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติ และที่สำคัญที่สุดคือ นักท่องเที่ยวมองว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีความสงบ พวกเขาสามารถเดินทางมาได้ มาท่องเที่ยวพักผ่อนและใช้จ่ายเงินโดยไม่รู้สึกถูกคุมคามจากการชุมนุมบนท้อง ถนน

"ผมหวังว่าเราจะไม่เห็นความรุนแรงบนท้องถนน"

ไทยยังดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน

สำหรับ แนวโน้มเพิ่มการลงทุนในไทย นายจาจาระบุว่า เมื่อมองในระดับมหภาคจะเห็นว่าเอเชียเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในไตรมาส 4 ของปีกลายถือเป็นช่วงเวลาที่แข็งแกร่งมากของเศรษฐกิจไทย สิ่งต่าง ๆ กำลังกลับคืนสู่ภาวะปกติ สิ่งที่นักลงทุน ต่างชาติ รวมทั้งนักลงทุนอเมริกันจับตามอง คือ จะเกิดอะไรบ้างเมื่อไทยมีเสถียรภาพทางการเมือง ไตรมาส 4 ปีกลายเป็นตัวชี้วัดที่ดี เช่นเดียวกับช่วงเริ่มต้นของไตรมาสนี้ นายจาจา เล่าว่า ตนได้ยินว่าโรงแรมส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯมียอดเข้าพักเต็ม 100% ในช่วงตรุษจีนสิ่งนี้เป็นสัญญาณที่ดีว่า คนกำลังกลับมาเมืองไทยในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยม นักลงทุนกำลังจับตามองสัญญาณเหล่านี้

"ผมคิดว่าทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างเข้าใจว่าไทยกำลังกลับมาแล้ว และคงไม่มีใครอยากเห็นความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ หลังเห็นว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มดีขึ้นแล้ว"

หนุนรัฐเร่งกำหนดเกณฑ์ด้านอุตฯ

นาย จาจากล่าวถึงปัญหามาบตาพุดว่า มาบตาพุดเป็นปัญหาที่น่าสนใจ และแสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการเปลี่ยนกฎการเล่น (rule of the game) นักลงทุนก็จะกังวลใจ เพราะหลายปีก่อน นักลงทุนได้ตัดสินใจลงทุนและวางแผนต่าง ๆ ไปแล้วบนพื้นฐานความเข้าใจต่อกฎระเบียบข้อบังคับ ณ ขณะนั้น

ทั้งนี้ จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทยที่กำหนดให้มีการ ประเมินผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากโครงการอุตสาหกรรมนั้น ตนพูดได้ว่าไม่มีนักลงทุนกลุ่มใด รวมทั้งนักลงทุนอเมริกันที่จะไม่กังวลต่อเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพของคน อย่างไรก็ตามพวกเขากังวลถึงกฎที่เปลี่ยนไปหลังจากที่พวกเขาตัดสินใจลงทุนไป แล้ว

"สิ่งที่อยากเรียกร้องต่อรัฐบาลคือ ต้องเร่งดำเนินกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้ความชัดเจนเกี่ยวกับข้อกำหนดด้านการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ และต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเกณฑ์ (criteria) อย่างรวดเร็ว มีการจัดตั้งองค์กรอิสระมารับผิดชอบ และช่วยให้นักลงทุนเข้าใจกฎการดำเนินธุรกิจในไทย แทนที่จะลงโทษโครงการที่ได้ลงทุนไปแล้ว หรือพร้อมจะเปิดดำเนินการแล้ว"

ทั้ง นี้ จะมีประสิทธิภาพมากกว่าหากอนุญาตให้นักลงทุนดำเนินโครงการต่าง ๆ เมื่อพวกเขาพร้อมจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่ไทยกำหนด ซึ่งนายจาจา มองว่าเป็นทางออกที่ส่งผลดีต่อทุกฝ่ายทั้งในแง่ช่วยจำกัดความเสียหายทางการ เงินของนักลงทุน พร้อมสร้างงานให้คนในชุมชน สร้างรายได้ภาษีให้แก่รัฐบาลโดยที่ไม่ละเลยต่อประเด็นสุขภาพของคน

"กฎเกณฑ์ ที่ชัดเจนมีความสำคัญต่อการลงทุนในอนาคต โดย ทุกคนที่ต้องการลงทุนในไทย ล้วนต้องทำความเข้าใจกฎการเล่นที่นี่ ไม่ใช่ว่าลงทุนไปแล้ว แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้ามีการกำหนดกฎข้อบังคับใหม่อีก ก็จะไม่ใช่จุดหมายการลงทุนที่เป็นมิตรกับนักลงทุนเลย"

FTA ไทย-สหรัฐ

ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ต้องการเพิ่มการส่งออกของสหรัฐเพื่อสร้างงานให้แก่ชาวอเมริกัน จึงมีแนวคิดเริ่มเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศในเอเชีย ส่วนไทยจะพร้อมเจรจา FTA กับสหรัฐหรือไม่นั้น เป็นคำถามที่ต้องถามกับฝ่ายไทยเอง โดยนายจาจาอธิบายว่า หลังจากที่สหรัฐเริ่มเจรจา FTA กับไทยเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งดำเนินการไปอย่างช้า ๆ และยุติลงไปนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าไทยเองยังไม่พร้อมกับเรื่องนี้ ทั้งนี้การค้าเสรีจะส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นของทั้งไทยและสหรัฐ ดังนั้นจึงต้องให้ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะเจรจากัน แต่ในระยะยาว เชื่อว่าการค้าเสรีในเขตแปซิฟิกทั้งหมดจะส่งผลดีต่อทั้งสหรัฐและ ทุกประเทศในเอเชีย

และเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาการค้ากับทั้งกลุ่มอา เซียน โดยขึ้นอยู่กับความตั้งใจของรัฐบาลต่าง ๆ ว่าต้องการเดินไปในแนวทางนั้นหรือไม่ และที่ผ่านมาสหรัฐได้เจรจากับหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม และการเจรจาหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจข้ามแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership) ที่เป็นข้อตกลงการค้าเสรีระดับสูงที่สหรัฐต้องการให้ประเทศในเอเชียเข้าร่วม

ขีดความสามารถการแข่งขันของไทย

นาย จาจาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไทยมีอันดับขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีโลกลดลง โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาทางการเมือง และเชื่อมั่นว่าหากไทยสามารถทำให้การเมืองกลับมามีเสถียรภาพ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเพราะองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับขีดความสามารถในการแข่งขันนั้น ไทยมีพร้อมทุกอย่างอยู่แล้ว

อนาคตเมืองไทย

ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยกล่าวว่า "ประวัติศาสตร์ชี้ทางให้กับผม และควรจะชี้ทางให้กับเราทุกคน ไทยยังคงอยู่ที่นี่ ไทยมีความก้าวหน้า เราได้เห็นความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากมายในอดีต ผมมองในแง่ดีว่าหากมองไปในอนาคต ไทยจะสามารถฝ่าฟันปัญหาความท้าทายทั้งหมดไปได้"


หน้า 2
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02edi01110353&sectionid=0212&day=2010-03-11

--
Web link
http://www.edtguide.com/SuanplooThaiMassage_486629
http://www.victam.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.niwatkongpien.com
http://sundara21.blogspot.com
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com/v1/
http://cloudbookclub.blogspot.com
http://blogok09.blogspot.com
http://thairaptorgroup.com/TRG/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2049
http://www.ias.chula.ac.th/Thai/modules.php?name=NuCalendar

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ปกป้องไตของคุณ ควบคุมเบาหวาน" คำขวัญกับกิจกรรมวันไตโลก 11 มีนาคม 2553



วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:52:55 น.  มติชนออนไลน์

“ปกป้องไตของคุณ ควบคุมเบาหวาน” คำขวัญกับกิจกรรมวันไตโลก 11 มีนาคม 2553

 

ในปี 2552 ที่ผ่านมารัฐบาลไทยต้องเสียงบประมาณถึง 6,400 ล้านบาท  ในการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายระยะสุดท้ายเพียง 32,000 คน โดยการรักษาที่เรียกว่าการบำบัดทดแทนไต ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเลือด การล้างไตทางช่องท้อง หรือการปลูกถ่ายไต จากสถิติของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่าจำนวนผู้ป่วยกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นทุกปีประมาณปีละ 10,000 คน  คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวกระโดดเป็น 16,400 ล้านบาท นอกจากจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการบำบัดทดแทนไตด้วยงบประมาณมหาศาลแล้ว ยังพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนปกติอีกด้วย


ที่กล่าวมานั้น เป็นความเสียหายที่เกิดเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้าย ซึ่งถือว่าเป็นโรคไตระยะที่ 5 ผู้ป่วยกลุ่มนี้จัดเป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1 ถึง 4 ซึ่งเป็นระยะที่ไตมีการเสื่อมลงแต่ยังสามารถทำงานได้เพียงพอโดยไม่ต้องรับการบำบัดทดแทนไต  มีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังระยะดังกล่าว  จำนวนกว่า 6.8 ล้านคน โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง  หากไม่ได้รับการรักษาและการดูแลตนเองที่ถูกต้อง จะมีโอกาสที่ไตค่อยๆ เสื่อมลงทีละน้อยจนกระทั่งเข้าสู่โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
การป้องกันหรือการชะลอการเสื่อมของไตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเหล่านี้กลายเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย


ปัญหาโรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาของทุกประเทศทั่วโลก สมาคมโรคไตนานาชาติจึงเสนอให้จัดกิจกรรมวันไตโลกขึ้น ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553 เพื่อสร้างความตระหนักในการป้องกันโรคไตเรื้อรังแก่ประชาชนทั่วไปที่ยังไม่ได้เป็นโรคไต และสร้างความตระหนักแก่ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังอยู่แล้วให้ดูแลตนเองเพื่อชะลอการเสื่อมของไต โดยวันไตโลกในปีนี้ได้เน้นถึงความสำคัญของโรคเบาหวานต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง ดังนั้นคำขวัญสำหรับวันไตโลกประจำปีนี้ คือ “ปกป้องไตของคุณ ควบคุมเบาหวาน”


ปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ที่สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยได้จัดกิจกรรมวันไตโลกขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลต่างๆ ในการจัดนิทรรศการและกิจกรรมในงานวันไตโลกในสถานพยาบาลทั่วประเทศพร้อมกันในวันที่ 11 มีนาคม 2553 สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยจึงขอเชิญผู้สนใจโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน เข้าร่วมกิจกรรมวันไตโลกได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านในวันดังกล่าว ซึ่งภายในงานท่านจะได้รับการตรวจสุขภาพ ความรู้ เอกสาร และหนังสือ “กลเม็ดเคล็ดลับ ทำอย่างไรไตไม่วาย”


ท่านที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.nephrothai.org หรือติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้านท่าน

                               http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267808021&grpid=&catid=10

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687
http://www.tu.ac.th/org/ofrector/tu_council/record/nopporn.htm