"http://comment-thai.com/pimp_glitter_15748.html"

“ เมื่อไหร่ …หนูจะได้กลับบ้าน ”

ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)

Teachings of Buddha Product by manoon Chongwattananukul

Bookmark and Share
Bookmark and Share

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เผยเมืองไทยกม.คนพิการ-ผู้สูงอายุดี แต่การบังคับใช้แย่!

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 16:46:47 น.  มติชนออนไลน์

เผยเมืองไทยกม.คนพิการ-ผู้สูงอายุดี แต่การบังคับใช้แย่!

แพทย์หญิงวัชรา  ริ้วไพบูลย์ ผู้อำนวยการสถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ กล่าวถึงสถานการณ์ของคนพิการและผู้สูงอายุของประเทศไทยว่าขณะนี้จำนวนคนพิการในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 2 ล้านคนในขณะที่ผู้สูงอายุมีอยู่ประมาณ 8 ล้านคน ที่สำคัญคนพิการส่วนใหญ่ร้อยละ 90 พิการเพราะมีความผิดปกติทางด้านร่างกายและมีโรคภัยไข้เจ็บร่วมอยู่ด้วยทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย ถึงร้อยละ 40   สถิติที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทยพบว่าขณะนี้การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุหรือคนไทยมีอายุยืนมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมาเพราะเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาที่จะตามมาให้มากขึ้น


ผอ.สถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ กล่าวต่อไปว่าปัญหาสำคัญของคนพิการและผู้สูงอายุในขณะนี้ ไม่ได้อยู่ที่การขาดนโยบายหรือกฎหมายไม่ดีเพียงพอเพราะเราเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับต้นๆของเอเชียที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรการเชิงกฎหมายดีมากแต่ปัญหาของเราก็คือการบังคับใช้กฎหมายและการตัดสินใจในการบังคับใช้ยังไม่เข้มข้นเพียงพอโดยเฉพาะเรื่องการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง  เช่น ทางเท้า  จุดเชื่อมต่อต่างๆยังได้รับความสนใจน้อยซึ่งเป็นเรื่องที่สถาบันและเครือข่ายต่างๆจะต้องรณรงค์เรียกร้องกันต่อไป  ส่วนปัญหาอื่นๆ เช่น โรคภัยไข้เจ็บของผู้สูงอายุและคนพิการก็เป็นสิ่งที่จะต้องรณรงค์ให้ดูแลกันมากเช่นกันเพราะคนไทยไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้


รศ.ดร.สุขุม  เฉลยทรัพย์ ประธานสวนดุสิตโพล เปิดเผยผลการสำรวจสถานการณ์คนพิการและผู้สูงอายุไทยเมื่อเร็วๆนี้ว่า ปัจจุบันในครอบครัวไทยมีคนพิการและผู้สูงอายุ อยู่ถึงร้อยละ 62.5  ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง  แต่สิ่งที่ดีก็คือคนพิการและผู้สูงอายุร้อยละ 75.86 อาศัยอยู่กับคนในครอบครัว  ส่วนที่เหลืออาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชราของภาครัฐและเอกชน  ในขณะที่ภาวะด้านโรคภัยไข้เจ็บพบว่าร้อยละ 21 เป็นโรคเบาหวาน  ร้อยละ 20 เป็นโรคความดันโลหิตสูงและร้อยละ 15 เป็นโรคหัวใจ  ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตของคนพิการและผู้สูงอายุคนไทยส่วนใหญ่ร้อยละ 61.76  อยากให้ออกมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1267350431&grpid=&catid=04

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

"มะเร็งหลังโพรงจมูก"

มะเร็งหลังโพรงจมูก

วันเสาร์ ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 0:00 น





ขึ้นชื่อว่า “มะเร็ง” แล้ว หลายคนก็คงจะกลัว ไม่อยากเผชิญหน้ากับก้อนเนื้อร้ายของมัน
     
อันตรายของโรคมะเร็งในปัจจุบันที่สำคัญ ก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องการรักษาทางกายและทางจิตใจ หลายคนที่เคยประสบพบเจอกับโรคมะเร็งกับตัวเอง ก็คงจะทราบดีในเรื่องนี้ เกริ่นถึงโรคมะเร็งขึ้นมา แน่นอนว่าฉบับนี้ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับโรคมะเร็งมาฝาก
   
“มะเร็งหลังโพรงจมูก”
   
มะเร็งหลังโพรงจมูก ถือเป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ไม่น้อยในปัจจุบัน ลักษณะที่สังเกตได้กล่าวคือ การตรวจจะพบเนื้องอกชนิดร้ายแรงที่เกิดบริเวณหลังโพรงจมูก  ซึ่งเป็นบริเวณคอหอยที่อยู่ด้านหลังของโพรงจมูก และอยู่เหนือจากระดับเพดานปากขึ้นไป
   
อุบัติการณ์ ที่พบส่วนมากแล้วจะพบได้ในกลุ่ม  คนจีนโดยเฉพาะทางมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และคนจีน  ในสิงคโปร์ ได้มาก จะพบในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยกว่าในมะเร็งของบริเวณศีรษะและลำคอ โดยพบได้ตั้งแต่อายุ 10-20 ปี และพบมากในช่วงอายุ 30-55 ปี ทั้งนี้ยังพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงในอัตราส่วน 3 ต่อ 1
   
ลักษณะอาการบ่งบอก ในระยะแรกมักไม่ค่อยชัดเจนและมีลักษณะแตกต่างกันไป ทำให้การวินิจฉัยในระยะแรกมักทำได้ยาก เนื่องด้วยผู้ป่วยไม่ได้มาพบแพทย์ และไม่มีอาการแสดงมาก ซึ่งผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์แล้วก็ต่อเมื่อด้วยมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโต ซึ่งพบได้มากถึงร้อยละ 50-90 ของผู้ป่วย เพราะบริเวณดังกล่าวนี้เอง มีท่อน้ำเหลืองที่ติดต่อกับบริเวณด้านหลังโพรงจมูกค่อนข้างมาก
   
นอกจากนี้ ยังพบอาการทางจมูกพบได้มากถึงกึ่งหนึ่งของผู้ป่วยคือ มีอาการน้ำมูกปนเลือด คัดจมูกข้างเดียว หูอื้อข้างเดียว อาจมีเสียงดังหรือปวดหู ซึ่งเกิดจากเนื้องอกกดเบียดท่อปรับความดันของหูชั้นกลาง ทำให้มีของเหลวขังอยู่ในหูชั้นกลาง
   
ส่วนอาการทางระบบประสาทที่พบมักเกิดจากเส้นประสาทเป็นอัมพาตหรือปวดศีรษะ อาการที่พบเช่น เห็นภาพซ้อน เนื่องจากเส้นประสาทที่ควบคุมการกรอกตาเป็นอัมพาต อาการชาหรือเจ็บบริเวณใบหน้าหรือคอส่วนบน เนื่องจากเส้นประสาทรับความรู้สึกบริเวณนี้ ถูกมะเร็งกดเบียดหรือลุกลาม บางรายที่เป็นมากก็จะลุกลามไปยังเส้นประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวของลิ้นหรือ สายเสียงได้ ทำให้กลืนลำบาก มีเสียงแหบ หรือมีการสำลักได้
   
อาการอื่น ๆ ที่พบได้ ก็ยังมี เช่น การแพร่กระจายของมะเร็งไปยังกระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน และยังสามารถแพร่กระจายไปปอดและตับได้ เมื่อกล่าวถึงการลุกลาม นอกจากที่กล่าวมาแล้ว มะเร็งหลังโพรงจมูกสามารถลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงได้ เช่น สมองโพรงจมูก ไซนัส ช่องคอ และหู
   
สาเหตุหรือปัจจัยการเกิดโรค มีหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ เหตุเพราะพบในชาวตะวันออกมากกว่าตะวันตก ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น สภาพบ้านเรือน อาหารโดยเฉพาะปลาเค็ม รวมทั้งการติดเชื้อบางชนิด เพราะมะเร็งบางชนิดมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสบางตัว
     
ขั้นตอนการวินิจฉัย ของแพทย์จึงต้องมีการตรวจอย่างละเอียด อาจเริ่มต้นจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจทางหู คอ จมูก การตรวจบริเวณหลังโพรงจมูกด้วยกล้องส่องตรวจชนิดแข็งหรือชนิดสายโค้งงอได้ การตัดชิ้นเนื้อ เพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อเป็นการยืนยันการวินิจฉัย การตัดชิ้นเนื้อผ่านทางรูจมูกภายใต้กล้องส่องตรวจทางจมูกหรือกระจกเงาผ่าน ทางช่องปาก สามารถทำที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกได้โดยไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล ยกเว้นในบางรายที่ต้องทำภายใต้การดมยาสลบ เนื่องจากไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ได้เช่น ในผู้ป่วยเด็ก หรือในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกอยู่ในตำแหน่งลึก
   
ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นเรื่อง การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่คอเพื่อการส่งตรวจ เนื่องจากทำให้เกิดผลเสียด้านการรักษาและอัตราการอยู่รอด หากจำเป็นต้องทำ ก็ให้ใช้วิธีเจาะดูดด้วยเข็มขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยและทำได้ทันที
     
  วิธีการตรวจเลือด ในบางรายอาจช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษาได้ ซึ่งสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสบางชนิด
     
 ส่วนการวินิจฉัยทางรังสีวิทยา โดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ซีที-สแกน) จะช่วยบอกระยะและการลุกลามของโรคได้ ข้อมูล ณ ปัจจุบัน ยังบอกได้ว่า อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก สามารถพบได้ 15-50 ราย ต่อประชากร 100,000 คน
   
การรักษาทางการแพทย์ นั้น แพทย์จะทำการฉายรังสี เมื่อมะเร็งตอบสนองดีต่อการฉายรังสี และการให้เคมีบำบัดร่วมในบางรายเพื่อช่วยเสริมกับการฉายรังสี เพราะมะเร็งชนิดนี้มักเกิดซ้ำได้หลังฉายรังสีแล้ว หรือระยะของโรคเป็นมาก  ถ้าตัวโรคกระจายไปมาก การฉายรังสีจะครอบคลุมได้ไม่หมดทำให้มะเร็งแพร่กระจายไปนอกบริเวณฉายรังสี ได้ ส่วนการผ่าตัดนั้น จะทำในรายที่ยังมีการเหลือของเนื้องอกหลังการฉายรังสีและการให้เคมีบำบัด แล้วและยังสามารถผ่าตัดได้
     
โรคมะเร็งไม่น่ากลัว..หากรู้จักสำรวจตัวเอง และมาพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ.

ผศ.นพ.วิชิต ชีวเรืองโรจน์
ภาควิชาโสต ศอ นาสิก วิทยา
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

เรื่องของ ′ชา′ กับสุขภาพ




วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 08:19:27 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เรื่องของ ′ชา′ กับสุขภาพ

เราดื่มชากันติดปากไม่ต่างจากการดื่มกาแฟ

และมีข้อมูลที่ยืนยันว่าคนเรามีการดื่มชากันมากว่า 5 พันปีแล้ว

ปัจจุบัน ชาที่เราดื่ม ๆ กัน มีหลายประเภท ทั้งชาแท้ ชาเขียว ชาขาว ชาดำ ชาแดง หรือ ชาอู่หลง

′ศัลยา คงสมบูรณ์เวช′ ผู้เชี่ยวชาวด้านโภชนาบำบัดให้ความรู้เรื่องของชา ๆ ไว้อย่างน่าสนใจในหนังสือ ′อาหารต้านวัยต้านโรค′

 

เธอ ว่าชาทุกชนิดที่กล่าวมามีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์สูงในรูปพอลิฟีนอล ประกอบไปด้วยสารฟลาโวนอยด์หลายชนิด ซึ่งเป็นคุณในการป้องกันโรคได้หลายโรค

 

อันดับแรกเลยเป็นข้อมูลที่พบกันมาก นักวิจัยแนะนำการดื่มชาวันละ 1-5 ถ้วย เพื่อลดโรคหัวใจหรือป้องกันหัวใจวาย

 

นักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์พบว่า ผู้ที่กินสารฟลาโวนอยด์มากที่สุด มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง 68% อาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์มากที่สุดคือชาดำ รองลงมาคือหัวหอมและ แอปเปิล

 

รายงาน การวิจัยจากองค์การอาหารและเกษตรของสหรัฐอเมริกาพบว่า การดื่มชาดำวันละ 5 ถ้วย ช่วยลดแอลดีแอล (คอเลสเตอรอลไม่ดี) ได้ถึง 11.1% และลดคอเลสเตอรอลรวม 6.5% ในกลุ่มชายและหญิงที่มีคอเลสเตอรอลสูงขึ้นไม่มาก งานวิจัยในบอสตันพบว่า ผู้ที่ดื่มชาดำวันละถ้วย ลดความเสี่ยงหัวใจวาย 44% เทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม

แต่จากการวิเคราะห์งานวิจัย 17 ผลงานพบว่า ผลของการ   ดื่มชามีทั้งผลบวกและลบคละกันไป เพราะการวิจัยที่ทำใน North Carolina School of Public Health กลับพบว่า การดื่มชาเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายและเส้นเลือดสมองตีบ

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2006 องค์การอาหารและยา ของสหรัฐอเมริกาก็ได้ประกาศไม่อนุญาตข้ออ้างว่า ชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าชาเขียวไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ยังไม่มีข้อมูลการวิจัยพิสูจน์ให้เห็นชัดเจน

 

แม้ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า สารฟลาโวนอยด์ในชาอาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง แต่ข้อมูลไม่มากเท่ากับชาป้องกันโรคหัวใจ ปัจจุบัน  การวิจัยด้านคลินิกกำลังดำเนินอยู่เพื่อพิสูจน์ว่าชาจะป้องกันมะเร็งได้มากน้อยเพียงใด

 

ชาเขียวมีสารคาเทชินชนิด EGCG สูง กว่าชาดำมาก ซึ่งให้ประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก และอาจเพิ่มระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายนอกเหนือจากสารกาเฟอีน โดยยับยั้งเอนไซม์ที่สลาย สารนอร์อีพิเนฟฟรีน ซึ่งเป็นสารสื่อข่าวในสมองที่เร่งระบบเผาผลาญของร่างกายและไขมัน งานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป มีไขมันในร่างกายลดลง 20% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่มชาเป็นประจำ

 

และ นักวิจัยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์พบว่า สารคาเทชินในชาเขียวช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญได้วันละ 78 แคลอรี ในทางทฤษฎีอาจช่วยให้ลดน้ำหนักได้ปีละ 4 กิโลกรัม แม้จะไม่มากแต่ก็เป็นเหตุผลที่ดีที่จะแนะนำให้ดื่มชาวันละ 2 ถ้วย ชาดำจะให้ผลเช่นเดียวกันหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบชัดเจนในขณะนี้

 

ยังมีการวิจัยพบว่า สารธรรมชาติในชามีผลในการเพิ่มความไวต่ออินซูลินในเซลล์ไขมันถึง 150 เท่า การดื่มชาอู่หลงวันละ 6 ถ้วย ช่วยลดความดันน้ำตาลในเลือดได้ ชาอู่หลงจึงอาจมีผลในการเสริมฤทธิ์ยารักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

 

และสารฟลาโวนอยด์ในชามีผลในการยับยั้งแบคทีเรียในช่องปากลดการเกิดฟันผุได้ด้วย

งานวิจัยเหล่านี้ทำให้พอมองเห็นว่าการดื่มชาก็มีคุณต่อร่างกายไม่น้อย

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1267174034&grpid=07&catid=no&sectionid=0225



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://apps.facebook.com/blognetworks/index.php
http://www.roundfinger.com/
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.deepsouthwatch.org/node/687

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อุดรอย (ช้ำ) รั่ว

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4185  ประชาชาติธุรกิจ


อุดรอย (ช้ำ) รั่ว


อลิศร์ ชมถาวร...เรื่อง




อั้นฉี่ไม่ได้...ปัสสาวะเล็ด... จะทำยังไงได้ ก็มันบังคับ ไม่อยู่นี่นา

อาการอย่างนี้ สมัยโบราณเขาเรียกว่า "ช้ำรั่ว" หรือ "ปัสสาวะรั่ว" เป็นปัญหา ที่มักจะเกิดขึ้นกับ "สาวใหญ่" ที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไปแล้ว 

และปัญหานี้จะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก เพราะคนที่ประสบสถานการณ์เหล่านี้มักอาย ไม่กล้าที่จะไปพบหมอ เลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยที่บางคนหลีกเลี่ยงไม่ยอมดื่มน้ำ บางคนใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ บางคนต้องใช้น้ำหอมมาปกปิดกลิ่น ขณะที่บางคนกลัวอายถึงกับไม่ยอมออกไปไหน เลือกที่จะเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน 

หารู้ไม่ว่าใคร ๆ เขาก็เป็นกัน ดูได้จากข้อมูลที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า หญิงวัยหมดประจำเดือนมากถึง 80% ต้องเผชิญกับ โรคนี้ และยังพบอีกว่าในแต่ละ

โรงพยาบาล มีสาวใหญ่ที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีมากมาย ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามี 75.3% ส่วนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีมากถึง 89.3% เลยทีเดียว

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวนี้ เกิดจากอุ้งเชิงกรานหย่อนคล้อย เกิดจากการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อหูรูด กระเพาะปัสสาวะ หรือกล้ามเนื้อหรือระบบประสาท เป็นผลจากความอ้วนหรือฮอร์โมนพร่อง เมื่ออายุมากขึ้น จากกรรมพันธุ์ จากการคลอดบุตรหลายคน หรือการคลอดที่ใช้เวลานานเกิน 6-8 ชั่วโมง

ส่วนอาการนั้นสามารถเกิดได้หลาย

รูปแบบทั้ง "ปัสสาวะเล็ด" ตอนที่เกิดแรง

เบ่งในช่องท้อง ไม่ว่าจะไอ จาม หัวเราะ วิ่ง เดินแรง ๆ ก้าวขึ้นบันได หรือยกของหนัก "ปัสสาวะราด" เพราะอั้นไม่อยู่เข้าห้องน้ำไม่ทัน "ปัสสาวะปวดกลั้น" หรือปวดมากจนรู้สึกว่ากำลังจะราดจนต้องรีบเข้าห้องน้ำทุกครั้ง 

และ "ปัสสาวะรดที่นอน" ที่มักจะพบในเด็กและกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงการที่ "ปัสสาวะซึม" ภาวะที่ไหลซึมออกมาเองโดยไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะเข้าห้องน้ำ

เรื่องแบบนี้กำลังกลายเป็นปัญหาที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตไปทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านกายภาพที่อาจทำให้ผิวหนังเปื่อย แตก เป็นแผล เกิดการติดเชื้อ บางคนอาจส่งผลกระทบไปถึงจิตใจจนทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าจนต้องอาศัยผู้ดูแล

แม้จะเป็นเรื่องทั้งกวนตัวกวนใจ แต่ก็มี ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยกรรมวิธีหลากหลาย ทั้งการบำบัดด้วยการลดน้ำหนัก การฝึกขมิบกล้ามเนื้อช่องคลอด วันละ 30-80 ครั้ง การใช้ยา ไปจนถึงการผ่าตัด 

จากงานสัมมนา "เรื่องอายค่ะของสาวใหญ่ ค้นพบวิธีการรักษาโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่" 

ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 พบว่า ปัจจุบันมีการคิดค้นหาทางแก้ได้สะดวกรวดเร็ว 

ไม่ต้อง เจ็บตัว แถมยังใช้ง่ายและปลอดภัยสูง ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า 

"ยูเรสต้า" (Uresta) ที่ถูกคิดค้นโดย 

ศ.น.พ.สกอต ฟาร์เรลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินปัสสาวะ และสูตินรีแพทย์ ประจำ มหาวิทยาลัยดาล์เฮาซี ประเทศแคนาดา 

วิธีการใช้ยูเรสต้านี้เหมือนการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด โดยเครื่องมือนี้จะเข้าไปช่วยรองรับหรือค้ำยันท่อปัสสาวะไม่ให้ตกลงมา เหมาะกับหญิงที่กล้ามเนื้อหูรูดหย่อนหรือไม่กระชับจนทำให้มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่อีกต่อไป

น.พ.อรรณพ ตัณฑจินะ สูตินรีแพทย์ ประจำโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 กล่าวว่า "การใส่อุปกรณ์ยูเรสต้านั้น ถ้าใส่ในตำแหน่งที่ถูกต้องจะใช้ได้ผลต่อการปัสสาวะ สามารถ ขับถ่ายได้ตามปกติ ทั้งยังถอดล้างด้วยน้ำสบู่แล้วตากให้แห้งได้ทุกวัน จึงไม่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อ สตรีวัยหลัง 60 ปีก็สามารถใช้ได้ แต่ควรใช้ร่วมกับครีมเอสโตรเจน (Estrogen) เพื่อช่วยให้ผนังช่องคลอดหนาขึ้น และชุ่มชื้นขึ้น"

ปัจจุบันยูเรสต้ายังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย มีจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไปในประเทศแคนาดามาร่วม 2 ปี ทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ด้านการแพทย์ดีเด่น Medical Design Excellence Awards ประจำปี 2008 อีกด้วย

ส่วนประเทศไทย คาดว่าภายใน 2-3 เดือนนี้จึงจะรู้ผลว่า "ช้ำ" นี้จะได้รับการอุดรอย "รั่ว" ได้หรือไม่ คำตอบทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะอนุญาตหรือไม่เท่านั้น 


หน้า 41
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02spo04180253&sectionid=0219&day=2010-02-18
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ส.ว.เจตน์ จี้ รมช.สาธารณสุข แก้ปัญหางบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการสูงขึ้นต่อเนื่อง

 

 

 

ส.ว.เจตน์ จี้ รมช.สาธารณสุข แก้ปัญหางบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการสูงขึ้นต่อเนื่อง

17 ก.พ. 53 -            ส.ว.เจตน์ เผย การใช้จ่ายงบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการมีตัวเลขที่สูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง จี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการควบคุมการใช้จ่ายงบ

นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงการใช้จ่ายงบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการว่า ปัจจุบันพบว่าตัวเลขงบดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดปี 2552 ตั้งงบไว้ที่  48,500 ล้านบาท แต่งบที่จ่ายไปคือ 61,300 ล้านบาท นอกจากนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังได้มีมติยืนยันร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล 5 ข้อ คือ
1.กำหนดให้การเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคเป็นการรักษาพยาบาล  
2.ขยายสิทธิ์ในการเข้ารับการรักษาสถานพยาบาลเอกชนให้กว้างขึ้นและมีการเบิกจ่ายตรง
3.ขยายสิทธิ์กรณีผู้พ้นสภาพเป็นข้าราชการแต่ยังอยู่ระหว่างการรักษา 
4.ขยายสิทธิ์ให้เลือกใช้สิทธิ์เบิกจากหน่วยงานใดก็ได้กรณีสิทธิ์ซ้ำซ้อน และ
5. กรณีสัญญาประกันภัยคุ้มครองค่ารักษา มีการจ่ายค่ารักษาต่ำกว่าทางราชการให้สามารถนำมาเบิกส่วนที่ขาดได้
จากข้อมูลข้างต้นตนจึงเห็นว่า สิ่งดังกล่าวส่วนทางกับคำตอบของนางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ตอบกระทู้ในการประชุมวุฒิสภาว่าจะหาแนวทางแก้ไข ตนจึงต้องการเรียกร้องไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องให้เร่งหาแนวทางและมาตรการควบคุมการใช้จ่ายงบดังกล่าวด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                วิจิตรา น้าวัฒนไพบูลย์ ข่าว / เรียบเรียง



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog
http://www.youtube.com/user/naiissarachon#p/a/u/0/34ZvscsnCbA

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

10 วิธีการที่แมวจะบอกรักคุณ

สำหรับคนรักแมวนะคะ - วิธีบอกรักคนของแมว / Alice น่าจะชอบค่ะ

Postby babesua on Sat Aug 16, 2008 10:10 am

ก็คงจะดีถ้าหากเจ้าเหมียว สามารถพูดได้ว่า " ผมรักเจ้านายครับ "
มันก็คงจะทำให้ท่านเจ้าของทั้งหลายต่างปลื้มอกปลื้มใจกันเป็นแน่แท้
และก็จะเพิ่มสายใยความรักความผูกพันธ์ให้มาขึ้นไปอีก
มีหลายครั้งที่เราก็อยากรู้ว่าเจ้าแมวเหมียวของเรานั้น รักเราหรือเปล่าน้า
เพราะมันไม่ยักกะทำตัวเหมือนแมวข้าง ๆ บ้านเลย อันนี้คงต้องบอกว่า แมวนั้นมีหลายประเภท
มากมายหลายอุปนิสัย การแสดงออกของแต่ละตัวก็จะไม่เหมือนกันด้วย 10 วิธีการที่แมวจะบอกรักคุณนั้นมีดังนี้ ...


1. กระโดดนั้งตักคุณ แล้วก็ใช้หน้าถูกับตัวคุณ แมวส่วนใหญ่มักจะแสดงออกแบบนี้ เรียกว่าเป็นการแสดงออกแบบสากลก็ว่าได้

2. ส่งเสียงร้องเรียกคุณ "เมี้ยว เมี้ยว" เบา ๆ แล้วก็ทำหน้าอ้อน ๆ ทำตาหวานใส่แมวที่เรียบร้อยมักจะเป็นแบบนี้

3. กัดที่หน้าแข้ง หรือข้อศอกเบา ๆ เจ้าของบางคนจะไม่ชอบ และเข้าใจผิดว่าแมวดุ แต่จริง ๆ
แล้วเป็นการแสดงความรักของแมวระดับจ่าฝูงก็ว่าได้ เพราะพวกนี้จะอ้อนไม่ค่อยเป็น

4. นวดหลัง บางครั้งเมื่อคุณนอนอยู่จะเห็นว่าแมวจะขึ้นไปเดิน หรือเหยียบหลังคุณ
ถ้าหากคุณรู้สึกพอใจมันก็จะทำบ่อย ๆเพื่อให้คุณสบาย แมวพวกนี้จัดเป็นพวกไอคิวสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

5. หอมแก้ม บางครั้งเวลาอุ้มแมวจะถูกแมวหอมแก้ม อันนั้นมันบอกว่า " รักคุณมากเลยหล่ะ "

6. แมวใช้เท้าหน้าลูบหน้าคุณ หรือตบที่หน้าเบา ๆ
ลักษณะนี้ก็เหมือนกับความรู้สึกเวลาคุณลูบหน้าคนที่คุณรักนั่นแหละ

7. ลูบหน้า แล้วก็ร้อง ๆ เบา ๆ มันบอกคุณว่า " รักเจ้านายมากที่สุดในโลกเลย "

8. แมวเอาตัวมาถูที่ขา แรง ๆ แล้วก็ร้องดัง ๆ อันนี้เป็นการแสดงออกว่ารัก ของแมวประเภทหัวโจกชอบโวยวาย

9. กระโดดเกาะที่หลังเวลาเจ้าของนั่งลง แมวขี้เล่น หรือแมวที่ซุกซน หรือแมวเด็ก ๆ
มักจะแสดงออกแบบนี้ก็เหมือนกับเวลาที่ตอนคุณเด็ก ๆ คุณก็อยากให้พ่อ อุ้มหลังขึ้นเหมือนกัน

10. มานอนซุกคุณเวลาคุณนอนหลับ อันนี้แสดงว่ารักมาก อยากอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้เวลาจะนอนหลับ

แต่ถ้าแมวของคุณยังไม่แสดงออกแบบนี้ละก็ลองหันกลับไปดูว่า ได้ดูแลเขาได้ดีพอหรือยัง
ถ้ายังก็ควรจะเริ่มใหม่เสียยังไม่สายจนเกินไปเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างคุณกับเจ้าเหมียวอย่างไรหละ ...

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809/wordcamp-bangkok-2009-pool-party

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ช่วยให้เราทำงานกับคนสนามหลวงได้อย่างต่อเนื่องด้วยได้ส่งข้อความถึงคุณใน Facebook


 นที สรวารีได้ส่งข้อความไปยังสมาชิกของกลุ่มช่วยให้เราทำงานกับคนสนามหลวงได้อย่างต่อเนื่องด้วย

--------------------
เรื่อง ระดมความช่วยเหลือ

ปี 2553 นี้ใครที่กำลังคิดอยากจะทำบุญ อย่าลืมนึกถึง คนเร่ร่อนไร้บ้านเป็นตัวเลือกหนึ่งในการร่วมทำบุญ เพื่อสนับสนุนให้เขามีที่พักพิง ก่อจะคืนกลับสู่สังคมนะครับ สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน ยินดีเป็นสื่อกลางในการสร้างโอกาสในช่วงปีใหม่นี้

ในปี 2553 อิสรชน มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินกิจกรรมเป็นจำนวนไม่น้อย เพราะ แผนการปิดสนามหลวง 300 วัน หลังปีใหม่ ของ กรุงเทพมหานคร จะส่งผลกระทบต่อการทำงานกับคนเร่ร่อนไร้บ้านอย่างแน่นอน ดังนั้น การเปิดบ้านปั้นปูน เพื่อ เป็นศูนย์พัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน .. ทั้ง ที่ดินว่างในกรุงเทพมหานคร เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการ ทำงานนี้ หรือ บ้านว่าง ที่มีเนื้อที่ตั้งแต่ 65 ตารางวา ถึง 100 ตารางวา ขึ้นไป
ที่สำคัญคือการทำกิจกรรมประจำสัปดาห์ที่ลงพื้นที่ สัปดาห์ละ 2 วันมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 1,000-1,200 บาท ใครมีโอกาสนี้ อยากแบ่งปันติดต่อมาที่ อิสรชนได้ ... ติดต่อได้ที่ คุณอัจฉรา 086-6282817 หรือร่วมบริจาคได้ที่ ธ.กรุงไทย เลขบัญชี 031-0-03432-9 หรือ ธ.กรุงเทพ เลขบัญชี 145-5-24762-5 ชื่อบัญชีสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน

ด้วยจิตศรัทธามั่นแลคาราวะ

นที วารี
--------------------

หากต้องการตอบกลับข้อความนี้ ให้คลิกตามลิงก์ด้านล่างนี้
http://www.facebook.com/n/?inbox%2Freadmessage.php&t=312102481496&mid=1dc5f00G5af31f0448bdG39ee7bG0

___
ค้นหาเพื่อนจาก Gmail รายชื่ออีเมล์ได้ในเฟสบุ๊ค ไปที่ http://www.facebook.com/find-friends/?ref=email

ข้อความนี้สำหรับ blog1951@gmail.com ต้องการกำหนดการรับอีเมลจาก Facebook หรือไม่ ให้ไปที่:
http://www.facebook.com/editaccount.php?notifications=1&md=bXNnO2Zyb209NzA2Nzc4Mjk5O3Q9MzEyMTAyNDgxNDk2O3RvPTEwMDAwMDI0MzkyNzIyOQ==
สำนักงานของ Facebook ตั้งอยู่ที่ 1601 S. California Ave., Palo Alto, CA 94304


วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Who is Issarachon ....?

1.How long have you been working for this problem ?


I started working as a volunteer in 1985 for less-fortunate children. Later on in 1996 I became a full-time worker since I got more serious with marginalized population issues. In 2000 I focused to work with the homeless. So, I’ve been in this field for 22 years; 11 years for marginalized people and 7 years for the homeless.
2. The main problem of those homeless e.g. where are they from and why are they here ?

The problem develops from many factors, such as being raised in a broken home, impact from community belief, economic status, education, and so on. The problem starts from every single facet. Even those who move to Bangkok, the main motivation is about education and economic. Following former success, most people come to Bangkok for better jobs and better luck. But when they got tricked by employers, such as, taking their ID’s away, not getting paid, and getting fired, they come to live in Sanam Luang.

3. The responsible of your association towards them

We support more access to basic social welfare, such as, helping them to get back their status. We coordinate with BKK health center 9 to issue their new IDs and help them get basic healthcare. We encourage couples to prenatal care and to deliver at hospitals. We help finding relatives for unidentified dead bodies and sick homeless. Our main goal is to empower these people to sustain themselves and get public awareness to respect their human rights. In a long run, we motivate them to return home and improve their quality of life. We try to tell the society to see and hear them with equity.

4. Is there any suggestion to resolve the problem?

Society should treat all people with equity and accept the diversity. We all should learn to be more open-minded. Also, public sector should provide social welfare, sufficient and equal to everyone. As for anyone interested to volunteer for homeless, you are absolutely welcome.

Plaes Donation Bank info : Savings Account : Voluntary Activity Creation Association,Krung Thai Bank, Central Pinklao branch, account number 031-0-03432-9 or Bangkok Bank, Min Buri branch, account number 145-5-24762-5
รถโมบายในยามที่พระอาทิตย์ตกดิน
วันนี้มีสาวเยอรมันมาลงพื้นที่เด็ก ๆ ติดใจในการเล่านิทานเป็นภาษาอังกฤษ ถึงแม้จะฟังกันไม่ออก
ยามหลับไหลที่นอนเรียงรายกั


--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog

นที สรวารี: สนามหลวงโมเดล (3) : ข้อเสนอแบบครบวงจรเพื่อบรรเทาปัญหา

สนามหลวงโมเดล (3) : ข้อเสนอแบบครบวงจรเพื่อบรรเทาปัญหา

นที สรวารี: สนามหลวงโมเดล (3) : ข้อเสนอแบบครบวงจรเพื่อบรรเทาปัญหา

สนามหลวงโมเดล (3) : ข้อเสนอแบบครบวงจรเพื่อบรรเทาปัญหา

ข่าวคราวเรื่องการปรับปรุงภูมิทัศน์ท้องสนามหลวงติดต่อกันมาเดือนเศษแล้ว ยังไม่ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายรับได้อย่างชัดเจน เหตุผลหนึ่งที่ ต้องยอมรับ คือ ความบกพร่องด้านการสื่อสาร ที่ไม่เคยสื่อสารในเชิงสร้างสรรค์เพื่อ ให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวกับคนใน สนามหลวง มีแต่ ชี้ประเด็นว่า คนในสนามหลวง คือผู้ก่อปัญหา ตัวปัญหา ต้อง กำจัดให้ออกไปจากสนามหลวง ??อย่างนี้ ใครจะอยากรับปัญหาไปกองที่บ้านตัวเอง ทั้งที่ คนที่สนามหลวง ไม่ใช่ตัวปัญหา แต่เขาคือผลพวงของปัญหาต่างหาก

อิสรชน พยายามเสนอแนวคิด สร้างงาน ไปพร้อมกับการหาที่อยู่อย่างเป็นหลักแหล่งให้กลุ่มคนเร่ร่อนไร้บ้าน ที่มีความพร้อมและมีความต้องการจะมีที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังกล่าวคือ รัฐบาลมีโครงการบ้านเอื้ออาทรที่สร้างไม่แล้วเสร็จรอบ ๆ กรุงเทพมหานครหลายโครงการ ที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน น่าที่จะนำมาแปรสภาพเป็นโครงการบ้านมั่นคงได้ โดยให้มีกระบวนการทำงานอย่างบูรณาการเข้าไป จ้างคนเร่ร่อนไร้บ้านเป็นแรงงานในการ ดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ พร้อมได้รับโอกาสเป็นเจ้าของบ้าน ให้ผ่อนส่งราคาถูก พร้อมมีรถรับส่ง จากโครงการ มายังใจกลางเมืองเพื่อทำงาน หรือ กทม. จะจ้างงานให้เป็น ลูกจ้างชั่วคราวของ กทม. เพื่อดูแลรักษาความสะอาดต่อก็ยังพอได้
ในส่วนของ ผู้ที่ยังมีครอบครัวและสามารถคืนกลับสู่ครอบครัวได้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่น คงของมนุษย์ ก็ใช้กลไก พมจ. ที่มีอยู่ทุกจังหวัด สืบค้นครอบครัว และทำการเยียวยาครอบครัว ที่ต้นทาง ก่อนจะนำคนเร่ร่อนไร้บ้าน คืนกลับสู่ครอบครัว ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานของอิสรชน พบว่า กว่า 30 % ไม่กลับมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะอีก

ที่สำคัญการทำงานในการแก้ไขปัญหา คนเร่ร่อนไร้บ้าน คนทำงาน ต้องยึดถือมาตรฐานการทำงานกับคนด้อยโอกาสที่มีการระดมความคิดและวางกรอบในการทำงาน รวมถึงมีการกำหนดค่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นไว้แล้ว แต่ที่ผ่านมา การทำงานใช้วิธีการทำแบบขอไปที ทำตามสัญชาตญาณมากกว่าอาศัยหลักวิชาการในการทำงาน
ส่วนในกลุ่มของ ผู้มีความบกพร่องทางสมอง สมองเสื่อม หรือ กลุ่มผู้วิกลจริต ก็ต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้และกลไกรองรับให้รวดเร็วที่สุด เพราะในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า คนเร่ร่อนไร้บ้านในกลุ่มนี้ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ป่วย ยังไม่มีใครเป็นเจ้าภาพหลักในการทำงานกับเขาในพื้นที่สาธารณะ เพราะเน้นงานตั้งรับมากกว่างานเชิงรุก

ทั้งหมดที่กล่าวมา จำเป็นต้องอาศัยกลไกหลักที่สำคัญคือ พระราชบัญญัติ คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .. ที่ยังค้างอยู่ในขั้นการพิจรณาหลังจากผ่านความเห๋นชอบในหลักการของ คณะรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2552 แต่ยังไม่มีท่าทีการเคลื่อนไหวที่สอดรับกับสถานการณ์แต่อย่างใด เพราะ ในเนื้อหาของ พรบ. ฉบับนี้ เปิดโอกาสให้ ภาคส่วนในสังคมต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการคิดค้นกลไกที่หลากหลายเพื่อรองรับรายละเอียดที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม แต่ละจังหวัด ที่จะมีบริบทแตกต่างกันออกไป

ความท้าทายของการจัดการกับ ปัญหาคนเร่ร่อนไร้บ้านที่สะสมกันมามากกว่า 30 ปี ผลพวงของความผิดพลาดในการใช้นโยบายบริหานประเทศที่ผิดพลาด ส่งผลให้ ผู้คน หลั่งไหลกันเข้ามาโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมในการรับมือ และการสื่อสารที่ตอกย้ำภาพลบของคนที่พ่ายแพ้ต่อชีวิตที่ดิ้นรนจนบอบช้ำกลายเป็น จำเลยของสังคม แทนที่จะได้รับความเห็นใจ



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog

สนามหลวงโมเดล : รูปแบบการทำงานด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ โดย สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน(องค์กรสาธารณประโยชน์)

สนามหลวงโมเดล ฉบับแก้ไขครั้งที่ ๑

สนามหลวงโมเดล : รูปแบบการทำงานด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
โดย
สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน(องค์กรสาธารณประโยชน์)

บทนำ
เป็นที่ทราบกันดีว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของความเจริญ มาตั้งแต่ยุคก่อน 2513 ที่เริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯฉบับแรก ๆ ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามามีบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ประชาชนในชนบทตั้งใจเข้ามาแสวงหาทางเลือกทางรอดในชีวิตที่ยากแค้นในภาคการเกษตร ผ่านการเสพสื่อที่ผ่านไปหาชาวบ้านโดยหนังกลางแปลง หนังขายยา ฯลฯ
สนามหลวงกลายเป็นสัญญลักษณ์ของกรุงเทพมหานครผ่านการบอกเล่าของสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งสื่อบุคคล และสื่อสารมวลชน ต่างยุคต่างสมัย ทำให้ผู้คนในชนบทที่เข้ามาทำงาน เข้ามาขุดทองในกรุงเทพมหานคร มีความตั้งใจที่เดินทางมาที่ สนามหลวง พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ประกอบกับ คำพูดที่พูดถึงสนามหลวงในแง่มุมต่าง ๆ รวมไปถึง ลักษณะทางกายภาพของสนามหลวงเองที่เอื้ออำนวยให้ผู้คนที่มานี่นี่ใช้ประโยชน์จากสนามหลวงได้อย่างหลากหลาย และไร้ขอบเขตข้อจำกัดใดใด รวมถึงเงื่อนไขของเวลาอีกด้วย
หากย้อนไปก่อน 2523 ในสมัยที่สนามหลวงยังถูกใช้ประโยชน์ในแง่มุมทางเศรษฐกิจชุมชนเพื่อเอื้อเฟื้อคนจนเมือง สนามหลวง เป็นแหล่งรวมข้าวของ เพื่อซื้อขายจับจ่ายกันในวันหยุดปลายสัปดาห์ ของคนเมือง และคนจนเมืองที่ใช้เป็นศูนย์กลางการค้าที่มีขนาดพอเหมาะในยุคนั้น และต้องมีการขยับขยายย้ายที่ไปในปี 2524 ก่อนเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ในปี 2525 จากนั้น สนามหลวงก็ถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจสำหรับคนทุกระดับชั้นในกรุงเทพมหานคร รวมถึงคนเร่ร่อนไร้บ้านมาโดยตลอด
ในช่วงปี 2535 เรื่อยมาการใช้พื้นที่สนามหลวงเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองมีค่อนข้างถี่ จนกระทั่งปัจจุบัน สนามหลวง เป็นแหล่งพักพิงของคนจนเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจก ลางเมือง เริ่มมีผู้คนจำนวนหนึ่ง พยายามกลับมาใช้สนามหลวง เป็นสถานที่จับจ่ายซื้อขาย ยามค่ำคืนอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่โดยรวมของสนามหลวง ก็ยังเป็นพื้นที่ของการพักพิงของคนจนที่ไร้ที่อยู่อีกจำนวนไม่น้อยกว่า 300 คนในแต่ละปี ซึ่งจำนวนดังกล่าวอาจจะมีเพิ่ม จำนวนถึง 1,000 – 1,500 คนในบางช่วงบางเวลา แต่ จำนวนที่ค่อนข้างแน่นอน ก็จะมีไม่น้อยกว่า 200 – 300 คนในยามค่ำคืน ของแต่ละวัน คนจนเมืองกลุ่มนี้ จะเข้ามาใช้พื้นที่สนามหลวง พักผ่อนนอนหลับ เนื่องมาจาก สนามหลวง เป็นสวนสาธารณะแห่งเดียวในกรุงเทพมหานคร ที่เป็นสวนสาธารณะแบบเปิด เปิด ตลอด 24 ชั่วโมง และยังเป็นแหล่งศูนย์กลางของการเดินทางของกรุงเทพมหานครทาง ฝั่งตะวันตกและใต้ อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง สนามหลวงจึงกลายเป็น ที่พักพิงขนาดใหญ่ของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในเขตเมืองของกรุงเทพมหานคร
คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ทุกคณะมีความพยายามจะเข้ามาจัด ระเบียบของสนามหลวง ไล่เรียงมาตั้งแต่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ,ร้อยเอกกฤษดา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ,ดร.พิจิตต รัตตกุล ,นายสมัคร สุนทรเวช ,นายอภิรักษ์ เกษะโยธิน และ ล่าสุด ม.รว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ต่างก็มีมาตรการที่จะพยายามจัดระเบียบสนามหลวง โดยเน้นการทำให้พื้นที่มีความสวยงาม เป็นสำคัญ เน้นให้คืนสนามหลวงเพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของคนเมืองเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงการบริหารที่สาธารณะเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนจนเมือง ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ คนเร่ร่อนไร้บ้าน คนไร้ที่พึ่ง

สาเหตุของการมาเป็นผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
คำถามที่ว่า อะไรคือสาเหตุของการมาเป็นผู้ใช้ ชีวิตในที่สาธารณะ ก็จะไม่พ้นคำตอบเดิม ๆ ซ้ำซาก ... ภาคการเกษตรล้มเหลว ... สถาบันครอบครัวล้มเหลว ... แต่ไม่ค่อยมีหน่วยงานไหน หรือใครกล้ายอมรับว่า เป็นเพราะความล้มเหลวของนโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นการพัฒนาแบบผิดที่ผิดทาง เน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มต้นมีแผนพัฒนาฯ ทำให้ละเลยการพัฒนาภาคสังคม หรือละเลยการส่งเสริมความเข้มแข็งให้ภาคสังคม ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ทำให้ ผู้คนในชนบทดิ้นรนที่จะมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายโดยดูแบบแผนจากคนเมืองเป็นแบบอย่าง แม้ในภายหลังจะมีความพยายามนำเรื่องการพัฒนาสังคมสอดแทรกให้อยู่ในแผนพัฒนาฯโดยเฉพาะการริเริ่ม เน้นการพัฒฯคน ตั้งแต่ปลายแผนพัฒนาฯฉบับที่ 7 เป็นต้นมา หรือแม้กระทั่ง การเร่งรณรงค์ให้เกิดความเข้าใจในระบบเศรษฐกิจตามแนวพระราชดำริ ที่เรียกกันว่า เศรษฐกิจพอเพียง แต่การเริ่มก็เกิดขึ้นภายหลังหารลุกลามของปัญหาที่ เกาะกินเข้าถึงแก่นของสถาบันครอบครัวอันเป็นสถาบันหลักของสังคม ทำให้ ผู้คนในชนบทก็ยังหลั่งไหลเข้ามาสู่เมืองใหญ่ ๆ ที่แผ่นขยายออกไปตามหัวเมืองสำคัญ ๆ ทั่วประเทศไม่เฉพาะในกรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียว แต่ ในท้ายที่สุด ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะตามหัวเมืองต่าง ๆ ก็ยังแอบมีความหวัง ความฝันที่จะเข้ามาหาทางพัฒฯชีวิตที่ดีกว่าในกรุงเทพมหานครเช่นกัน
หากจะกล่าวโดยสรุปถึงสาเหตุสำคัญหลัก ๆ ของการมาเป็น ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในพื้นที่ สนามหลวง ก็จะสามารพถแบ่ง ออกเป็นสาเหตุหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ความยากจนและความล้มเหลวของภาคการเกษตรในชนบท
2. การขาดความเข้าใจกันภายในครอบครัว
3. ปัจจัยเสริมอื่น ๆ ที่เร่งเร้าจากภายในครอบครัว เช่น มรดก เป็นต้น
4. ความเชื่อพื้นฐานเดิมของชุมชน
5. ปัจจับเสริมอื่น ๆ เฉพาะตัว เช่น รักอิสระ เป็นต้น

วิธีการทำงานเพื่อเข้าถึงรากแท้ของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ ปลายปี 2545 มาจนถึงปัจจุบัน ที่อิสรชน เริ่มขยับเข้าพื้นที่เพื่อเตรียมตัวทำงานในพื้นที่ สนามหลวง และเริ่มลงทำงานอย่างจริงจังในปลายปี 2547 พบว่า การทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ โดยเฉพาะพื้นที่ สนามหลวง คลองหลอด และปริมณฑล คำตอบไม่ใช่ การหาที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว หากแต่ว่าคำตอบมีมากกว่านั้นมากมาย แต่กว่าจะได้มาซึ่งคำตอบนั้นจำเป็นต้องมีวิธีการทำงานเพื่อค้นหาคำตอบจากผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างเข้มข้นและลงลึก
โดยการทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมา อิสรชน ได้ทดลองและริเริ่มรูปแบบกิจกรรมเพื่อค้นหารากเหง้าของปัญหาร่วมกับคนสนามหลวงอย่างหลากหลายวิธี ที่พอจะสรุปได้ ได้แก่

1. การลงพื้นที่สำรวจข้อมูล
2. การสร้างความคุ้นเคยเบื้องต้น
3. การคุยกลุ่มย่อยในพื้นที่
4. การคุยกลุ่มย่อยนอกพื้นที่
5. การทำประชาคมเพื่อระดมความคิดเห็นในพื้นที่
6. การให้บริการพื้นฐานเฉพาะหน้า
7. การออกหน่วยให้คำปรึกษาแบบเคลื่อนที่เร็ว
8. การตั้งหน่วยบริการให้คำปรึกษาแบบประจำจุด
การลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง พบว่า ปัญหาพื้นที่ ที่คนสนามหลวงต้องการเป็นการเร่งด่วน คือ การยืนยันสถานภาพบุคคลทางทะเบียนราษฎร เพื่อยืนยันความเป็นพลเมืองไทย และ นำไปสู่การได้รับสิทธิอื่น ๆ ที่พลเมืองไทยพึงได้จากรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการสร้างความมั่นใจในการหางานทำเพื่อพัฒนาตนเองในโอกาสต่อไป
รูปแบบการให้บริการเชิงรับเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
จากการทำงานประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบกลุ่มผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่ภาครัฐเรียกว่า คนไร้ที่พึ่ง พบว่า สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ ที่รัฐมีอยู่ ยังไม่สามารถรองรับสภาพปัญหาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้อย่างแท้จริง กล่าวคือ สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ ของรัฐที่มีอยู่ มีเงื่อนไขที่ค่อนข้างขาดความยืดหยุ่น ไม่สามารถให้บริการ ครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ครอบครัวเร่ร่อนไร้บ้านได้ โดยฌฉพาะการแยกการให้การดูแลครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะออกจากกัน แม้จะมีในบางกรณีที่สามารถให้แม่เด็กและเด็กอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็แยกผู้เป็นสามีออกจากครอบครัว จากการทำงานพบว่า เกือบจะ 100% ของครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่ได้รับการเชิญตัวเข้ารับการสงเคราะห์ในรูปแบบเดิม จากรัฐ จะกลายเป็นครอบครัวแตกในที่สุด เพราะเมื่อสามีหัวหน้าครอบครัว สามารถหาทางออกจากสถานแรกรับ หรือสถานสงเคราะห์มาได้ก่อน ภรรยามักจะมีครอบครัวใหม่ และเมื่อภรรยาเก่าออกมาพบ ก็เกิดการทะเลาะวิวาทกันในพื้นที่อยู่เป็นประจำ ยังไม่รวมการที่เด็กเมื่อได้รับการแยกให้การสงเคราะห์ออกไปมักจะได้รับการทอดทิ้งจากครอบครัว เป็นภาระของรัฐที่ต้องดูแลเด็กในฐานะเด็กถูกทอดทิ้ง
อิสรชน มีแผนการดำเนินการเปิด สถานพัฒนาคุณภาพชีวิตและฟื้นฟูผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ(บ้านปั้นปูน) เพื่อเป็นทางเลือกในการให้บริการด้านการสงเคราะห์เบื้องต้น แก่ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ โดยเปิดโอกาสให้สามารถอยู่ได้ในรูปแบบของครอบครัว โดยจะมีนักสังคมสงเคราะห์ ,นักพัฒนาคุณภาพชีวิต ประจำอยู่ในบ้านดังกล่าว เพื่อคอยให้คำแนะนำและประสานงานหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ หรือ ภูมิลำเนาของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ กรณีมีความต้องการจะกลับภูมิลำเนา และ จัดให้มีการฝึกอาชีพเบื้องต้นในรูปแบบของการฝึกอบรมระยะสั้น เพื่อเสริมศักยภาพของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ก่อนจะดำเนินการส่งต่อ หรือ ส่งกลับภูมิลำเนา โดยพยายามบริหารกรอบเวลาให้สามารถทำงานได้อย่างครอบคลุมปัญหาให้มากที่สุด



การระดมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อร่วมกันบรรเทาปัญหา
การแก้ไข หรือบรรเทาปัญหา ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ คนไร้ที่พึ่ง คนเร่ร่อนไร้บ้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมไปถึงภาคองค์กรธุรกิจด้วย เพื่อขยายพื้นที่การดูแลพลเมืองในสังคมอย่างทั่วถึงและสร้างทางเลือกให้ได้มากที่สุด
ในส่วนของภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนองค์กรภาคเอกชน องค์กรประชาสังคม ที่แสดงความจำนงจะเข้ามาช่วยแก้ไขและบรรเทาปัญหานี้ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนากลไกเดิมที่มีอยู่ในสอดรับสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เปลี่ยนไปตลอดเวล
รัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้แก่องค์กรภาคธุรกิจให้ออกมาร่วมสนับสนุนทั้งงบประมาณวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้เข้าทำงาน เพื่อเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ อันจะนำไปสู่การยุติการใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างถาวรในอนาคต
ศูนย์พัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิต(บ้านปั้นปูน)
เกริ่นนำ
หลังจากที่นำเสนอรูปแบบและแนวคิดการดำเนินงานในกลุ่มผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะในเบื้องต้น นั้น เป็นเพียง กรอบแนวคิดการปรับทัศนคติและปูพื้นเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานให้บริการแก่ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ เท่านั้น ในครั้งนี้ จะขอเน้นการนำเสนอรูปแบบการให้บริการ เชิงรุก และ รับ เพื่อพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างเป็นระบบตามแนวคิดของอิสรชนเป็นหลัก ซึ่งรูปแบบของบ้านปั้นปูน จะเป็นการทำงานเชิงประสานงานและร่วมมือกัน ระหว่าง ภาคประชาชน เอกชนและราชการเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

การทำงานเชิงรุก
รูปแบบการทำงานเชิงรุกของการให้บริการแก่ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ตามแนวคิดของอิสรชน นั้น จะเน้นการออกมาพบปะกับผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะในพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตเมือง เพื่อสร้างสัมพันธภาพและความไว้วางใจ ตลอดจนการให้บริการขั้นพื้นที่ที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตในพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ บริการด้านสาธารณสุขเบื้องต้น การให้คำปรึกษา การแนะนำแหล่งทรัพยากรที่ให้บริการด้านต่าง ๆ ที่จำเป็น ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ การติดต่อขอทำบัตรประชาชน เป็นต้น
และพร้อมกันนั้น เจ้าหน้าที่ภาคสนามก็ยังจะสามารถแนะนำชักชวนให้ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่มีความต้องการจะยุติชีวิตในที่สาธารณะ และ มีความประสงค์จะขอรับการพัฒนาฟื้นฟู เพื่อเตรียมตัวคืนกลับสู่ ครอบครัว ชุมชน และสังคม เข้าสู่ระบบการให้บริการของศูนย์พัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิต (บ้านปั้นปูน) ที่ ดูแลและดำเนินงานโดย อิสรชนร่วมกับภาคีเครือข่าที่ทำงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน
การทำงานเชิงรับ
รูปแบบการทำงานเชิงรับของอิสรชน ภายใต้ชื่อ ศูนย์พัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิต(บ้านปั้นปูน) เป็นรูปแบบการทำงาน สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์และบ้านเปิด ผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยเน้นการให้บริการแบบสมัครใจ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่มีความประสงค์จะเข้ามาขอรับบริการ สามารถเข้ามาได้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเข้ามาขอใช้บริการด้วยตัวเอง หรือ จะติดตามเจ้าหน้าที่ภาคสนามเข้ามาขอรับบริการ หรือ จะเป็นการส่งตัวต่อมาจากหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรพัฒนาเอกชนอื่น และเป็นหนึ่งในกลไกการทำงานในขั้นของการคัดกรอง ผู้สมัครใจเข้ารับการพัฒนาและฟื้นฟู้คุรภาพชีวิต เพื่อเตรียมตัวคืนกลับสู่สังคมต่อไป
กรอบการให้บริการ แบ่งออกเป็น 5 ลักษณะได้แก่
1. แรกรับ ทดลองอยู่ ในรูปแบบนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะทดลองเข้ามาอยู่ เพื่อสร้างความคุ้นเคย โดยไม่มีเงื่อนไขการเข้าออก แต่ สามาถอยู่อย่างต่อเนื่องติดต่อกันได้ไม่เกินครั้งละ 10 วัน และ อนุญาตให้เข้าออกได้ไม่เกิน 6 ครั้ง ใน 1 ปี และอาจส่งต่อไปยังหน่วยบริการอื่นของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น สำนักคุ้มครองสวัสดิภาพชุมชน กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,กระทรวงแรงงาน เป็นต้น
2. หลักสูตรระยะสั้น เป็นการสมัครใจเข้ารับการพัฒนาและฟื้นฟูระยะสั้น โดยมีหลักสูตรที่ต้องสมัครใจ เข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 วัน และเมื่อผ่านหลักสูตรนี้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ อาจจะขอรับการอบรมในหลักสูตรที่สูงขึ้นได้ หรือ จะขอรับการช่วยเหลือ ทั้งการเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือ หางานทำ
3. หลักสูตรระยะกลาง เป็นการให้การอบรมที่ใช้ระยะเวลาเพิ่มมากขึ้นกว่า ในหลักสูตรแรก โดยที่จะใช้เวลาอบรมอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 45 วัน และไม่จำเป็นต้องผ่านการอบรมในหลักสูตรระยะสั้นก็ได้ เมื่อผ่านหลักสูตรนี้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ อาจจะขอรับการอบรมในหลักสูตรที่สูงขึ้นได้ หรือ จะขอรับการช่วยเหลือ ทั้งการเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือ หางานทำ
4. หลักสูตรระยะยาว เป็นการให้การอบรมที่ใช้เวลาในการอบรมอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 60 วัน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการอบรมในหลักสูตรระยะสั้นหรือระยะกลางก็ได้ ผ่านหลักสูตรนี้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะจะขอรับการช่วยเหลือ ทั้งการเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือ หางานทำ
5. การขอรับบริการระยะสั้น เพื่อขอพักพิงเพื่อรองการส่งต่อ หรือ กลับภูมิลำเนา โดยผู้ใช้บริการในรูปแบบนี้ อาจจะเป็นผู้รับบริการของหน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชน ที่รอการประสานงานเพื่อให้บริการตามที่ผู้รับบริการรองขอ หรือออาจจะเป็นผู้รับบริการของอิสรชนเอง ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือ ไปทำงาน โดยสามารถอยู่ในศูนย์ฯได้มีระยะเวลาติดต่อกัน ไม่เกิน 5 วันทำงาน
รูปแบบการทำงานที่อิสรชนออกแบบในเบื้องต้น นี้ จะเป็นการพัฒนารูปแบบการให้บริการแก่ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่สามารถเข้ามาขอรับบริการได้ทั้งมาคนเดียว หรือมาเป็นครอบครัว แต่ต้องเกิดจากความสมัครใจเป็นสำคัญ อนึ่ง การทำงานในพื้นที่ ยังมีความจำเป็นอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถนำคนออกจากพื้นที่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และละเมิดอำนาจรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 55 หาก ยังไม่มี มาตรการที่เหมาะสม หรือ พระราชบัญญัติที่ออกมารองรับและคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งอย่างเป็นรูปธรรม

การทำงานเชิงประสานงาน
เน้นการทำงานประสานงานข้อมูลสถานะบุคคล การมีสิทธิ์ในรัฐสวัสดิการด้านต่าง ๆการพัฒนาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและฝึกอาชีพตามความสมัครใจ รวมถึงการส่งกลับภูมิลำเนาโดยสมัครใจ โดยเน้นการทำงานร่วมทั้งในหน่วยงานของภาครัฐ และองค์กรพัฒนาเอกชน ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาร่วมเป็นอาสาสมัครในการทำงานในขั้นตอนต่าง ๆ

บทสรุป
การทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิ ตของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ คนไร้ที่พึ่ง คนเร่ร่อนไร้บ้าน ในปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐ ภาคเอกชน ต้องร่วมมือกันสร้างนวัตกรรม เพื่อรองรับสภาพปัญหาที่เคลื่อนไหวอย฿ตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุด คือ การสื่อสารสาธารณะเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม ที่มองว่า คนเหล่านี้ ขี้เกียจ หลักลอย ไม่เอาไหน ให้มองเสียใหม่ ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน ซึ่งจะนำไปสู่การยอมรับ เมื่อคนเหล่านี้มีความพร้อมที่จะคืนกลับสู่สังคม เพราะเมื่อสังคมได้รับการเตรียมความพร้อมแล้ว ก็จะสามารถยอมรับซึ่งกันและกันได้ ที่สำคัญ ต่างฝ่ายจะเกื้อหนุนกัน จนเกิดเป็นพลังในการทำงานเพื่อพัฒนาประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนและมีความสุข

วิทยากรคนเก่ง
http://www.facebook.com/profile.php?ref=profile&id=1342651261#!/notes/nthi-sr-wari/snam-hlwng-model-chbb-kaekh-khrng-thi-1/203689437862

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog